ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

.....บันทึกการเดินทาง เสียมเรียบ ของกิติมา จูลี่เหมย..... ตอนที่ 3


....บันทึกการเดินทาง เสียมเรียบ ของกิติมา จูลี่เหมย.....


วันที่ 10 ตุลาคม 2556 ออกเดินทางจากสุราษฎร์ธานี

วันที่ 11 ตุลาคม 2556 พิพิธภัณฑ์ โตนเลสาบ

วันที่ 12 ตุลาคม 2556 นครธม ปราสาทบายน ปราสาทตาพรหม

วันที่ 13 ตุลาคม 2556 พระใหญ่ น้ำตก

วันที่ 14 ตุลาคม 2556 เป็นวันเดินทางกลับ


ตอนที่ 3


วันที่ 12 ตุลาคม 2556 วันนี้มีรายการเที่ยวมากมายเลย 1. นครธม ปราสาทบายน 2. ปราสาทตาพรหม 3. ปราสาทบันทายสรี 4. ปราสาทนครวัด 5. ปราสาทพนมบาแคง ทานอาหาเช้า City Angkor Hotel เป็นอาหารง่าย ๆ ทานข้าวต้ม กาแฟ ขนมปัง และน้ำส้ม อิ่มอร่อย เจ๊คุ๋ย อยู่ระหว่างกินเจ ไม่มีอาหารอะไรที่ทานได้ พนักงานใจดีมากเลย ผัดผักพิเศษให้ด้วย ประทับใจมากเลย เอาเป็นว่าวันนี้ก็มีความสุขตั้งแต่เช้าอีกวัน ถ่ายภาพที่โรงแรมเป็นที่ระลึกได้ภาพสวยหลายภาพ เพราะว่าได้นอนพักเต็มที่ตามสูตร 6 7 8 นางแบบ นายแบบเลยหน้าตาสดใส พร้อมการท่องเที่ยวในวันนี้
















วันที่ 12 ตุลาคม 2556 สถานที่เยี่ยมชมที่แรกวันนี้ก็คือเมืองพระนครธม แต่สมาชิกทุกคนต้อง ถ่ายภาพทำบัตรเข้าชมก่อน ใช้แสดงตนเมื่อเข้าชมสถานที่ต่างๆ ราคา 20$ ต่อ 1 วัน ซึ่งจะมีบัตรประเภทต่างๆ จะมีช่วงเวลาในการใช้บัตรต่างกันไปตามราคา ขำๆช่วงที่ถ่ายภาพทำบัตรเค้าถ่ายภาพเสร็จแล้วบางคนไม่รู้เลยว่ากล้องอยู่ตรงไหน แต่ได้รับบัตรเร็วจริงๆ แป๊บเดียวก็ได้ครบอาจเป็นที่คณะของเราเป็นคณะเล็กๆ มีเพียง 11 คนคล่องตัวดีมากเลย ระหว่างเดินทางเข้าเมืองก็จะเห็นคูเมืองล้อมรอบสวยงาม ต้นไม้เขียวขจีเชียว มีวัยรุ่นนั่งเล่นอยู่ริมคูเมืองด้วยล่ะ พอลงจากรถก็จะเห็นช้างที่ให้บริการนักท่องเที่ยวนั่งแล้วเดือนรอบๆปราสาท ไกด์อธิบายขอมูลพื้นฐานให้พวกเราฟัง 555 ก่อนเข้าตัวปราสาทบรรดานายแบบ นางแบบ ก็ถ่ายภาพกันซะหลายแอ๊ก เช้าๆอย่างนี้ทั้งวิว ทั้ง นายแบบ นางแบบสวยมาก ขอบอก...






นครธมสร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นพุทธสถานนิกายมหายาน เป็นศิลปะแบบบายน ในภาษาเขมร นครธมแปลว่าเมืองใหญ่ (ธม แปลว่า ใหญ่) ซึ่งประกอบไปด้วยพระราชวัง และปราสาทต่างๆมากมาย และเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรขอมมั่งคั่ง และรุ่งโรจน์เป็นที่สุด นับตั้งแต่ก้าวแรกที่จะทางผ่านช่องประตูเข้ามา ต้องตะลึงกับความโอฬารของหินทรายที่สลักรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ด้วยสายตาที่ทอดต่ำลงมา และรอยยิ้มแบบบายนที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ปราสาทบายน สร้างโดยการนำหินมาวางซ้อนๆ กันขึ้นเป็นรูปร่างใบหน้าพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หันไปทั้งสี่ทิศ มีทั้งสิ้น 54 ปรางค์ รวมทั้งสิน 216 หน้า แต่ปัจจุบันได้สึกกร่อนพังทลายลงไปหลายหน้าแล้ว










วันที่ 12 ตุลาคม 2556 สถานที่เยี่ยมชมต่อไปก็คือ ปราสาทตาพรหม วันนี้ต้องใช้บัตรเข้าชมที่ทำไว้ตอนแรก ตลอดทั้งวัน ลักษณะเด่นก็คือตรงทางเข้ามีต้นไม้ร่มรื่นได้ยินเสียงดนตรีไพเราะ ไกด์บอกว่าเป็นทหารที่พิการจากการรบไม่มีเงินเดือน ได้รายได้จากการเล่นดนตรีและนักท่องเที่ยวบริจาค ทำให้รู้สึกว่าเงินที่เราบริจาคไปมีคุณค่าจังเลย ระหว่างทางมีขายของที่ระลึกและของกินเล็กๆน้อยๆเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวโดยทั่วไป อากาศร้อนพอสมควรเสื้อเริ่มเปียกแล้วล่ะ








ปราสาทตาพรหมจัดได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทางเข้าประกอบด้วยโคปุระชั้นนอกและชั้นใน บริเวณผนังที่อยู่เชื่อมระหว่างโคปุระชั้นนอกและชั้นในมีการสลักภาพตามคติธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือพระนางชัยราชจุฑามณีผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน


ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติ หลังจากการค้นพบปราสาทต่างๆ โดยชาวฝรั่งเศส แต่เดิมปราสาทนครวัดเองก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ก่อนที่จะมีการบูรณะในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ในขณะที่ปราสาทตาพรหม ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงว่าปราสาทอยู่กับธรรมชาติมาได้เกือบ 500 ปี อันเป็นอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นไม้ที่เกาะกุมปราสาทเดิมก่อนสร้างปราสาทนั้นสภาพบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เมื่อจะสร้างปราสาทจึงต้องเคลียร์พื้นที่ให้เป็นที่โล่ง โดยการตัดไม้ออกแต่ในที่สุดแล้วธรรมชาติก็สามารถที่จะเอาชนะถาวรวัตถุที่ถูกสร้างจากมนุษย์ ต้นไม้ที่เกาะกุม ชอนไชไปเรื่อยๆ ไปยังส่วนต่างๆของปราสาท ช่วยให้บรรยากาศของปราสาทตาพรหมดูลึกลับ สวย ไม่เหมือนปราสาทที่อื่นๆ


ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รกของมันจะดุดน้ำใต้ดินเข้าลำต้นทำให้นกดูป่อง พอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่ บ้างก็ยังเขียวสดอยู่ เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา เพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททำให้ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาได้





















อาหารมื้อเที่ยงวันนี้เป็นอาหารบุฟเฟ่ นานาชาติ จะมีลูกค้ามารับประทานประมาณ 700 คน คณะเราจะต้องรีบไปก่อนจะได้เลือกทานอาหารได้อย่างสบายใจ พอไปถึงร้านอาหารโอ้โห จริงจริงด้วย มีอาหารให้เลือกมากมาย เดินช๊อปของกินไป 2 รอบแต่ที่โดนใจที่สุดก็คือปอเปี๊ยะ และ เฝอ มีดอกโสนทอดด้วย รายการอาหารอื่นๆต้องถามครูสายชล ครูสายชลเอนจอยกับอาหารมื้อนี้มาก ไกด์บอกไว้ถูกต้องเลยให้รีบมาก่อน คณะเรามาได้แป๊บเลือกอาหารที่ชอบได้แล้วมีคณะนักท่องเที่ยวคณะอื่นๆมาเต็มร้านเลย แต่ไม่ต้องกลัวอาหารหมดเค้าเติมอาหารตลอดเลย การจัดร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ ก็ดีนะร้านอาหารไม่ต้องมีพนักงานเสริฟ มีเพียงพนักงานจัดที่นั่ง และนำอาหารมาเพิ่มเมื่อาหารไหนเหลือน้อย


วันที่ 12 ตุลาคม 2556 หลังจากทานอาหารมื้อกลางวันแสนอร่อยแล้ว คณะของเราก็เดินทางต่อไปยัง ปราสาทบันทายสรี ซึ่งอยู่นอกเมือง นั่งรถไปซักพักนึงจำไม่ได้ว่ากี่นาที ระหว่างทางก็เห็นภาพธรรมชาติที่เป็นทุ่งนา นักเรียนปั่นรถจักรยาน นักเรียนที่นี่เค้าเรียนหนังสือครึ่งวันเรียนภาคเช้าหรือภาคบ่าย








เมื่อมาถึงทางเข้าปราสาทบันทานสรี ดูทันสมัยเชียวได้ยินพี่ที่เคยมาแล้วบอกว่าต่างจากเมื่อก่อนมากเลยจำแทบไม่ได้ อากาศร้อนมากเตรียมมาทั้งร่ม หมวก แว่นกันแดด แต่ก็ยังสู้ไม่ได้ เปียกทั้งตัวเลยได้ชมความสวยงามของปราสาทที่มีลายคมชัด สวยงามมาก เดินไปด้านหลังเห็นเงาของปราสาทสะท้อนในน้ำสวยมาก หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ขาออกมาเค้าให้ออกมาทางด้านร้านขายของมีแม่ค้าขายน้ำมะพร้าว เค้าโฆษณาว่าน้ำมะพร้าวเย็นๆ สมาชิกทั้งร้อนทั้งเหนื่อยซื้อน้ำมะพร้าวกินกันใหญ่เลย มะพร้าวลูกโต ถามว่าอร่อยมั๊ย 555 รสชาดออกเปรี้ยวนิดๆ แถมไม่เย็นเหมือนกับที่แม่ค้าโฆษณา ไม่ได้ซื้อเองหรอกค่ะแอบชิมจากของเจ๊คุ่ยน่ะ ไม่เหมือนมะพร้าวน้ำหอมบ้านเราที่ลูกเล็กๆ หวานหอมอร่อย



ตามจารึกที่ปราสาทบันทายสรีกล่าวว่าปราสาทแห่งนี้สร้างใน พ.ศ. 1510 โดยยัชญวราหะ ซึ่งเป็นพราหมณ์นักปราชญ์ เมื่อพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เสด็จสวรรคต พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งเป็นราชโอรสจึงขึ้นครองราชย์แทน เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ยังทรงพระเยาว์อยู่ พราหมณ์ยัชญวราหะ จึงได้ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเป็นพระอาจารย์ให้กับพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ไปพร้อมๆ กัน พราหมณ์ยัชญวราหะได้ทูลขอที่ดินแปลงหนึ่งจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เพื่อมาสร้างปราสาทเพื่อบูชาพระศิวะ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของราษฎรและเป็นที่น่าสังเกตว่าปราสาทที่พระเจ้าแผ่นดินสร้าง กับปราสาทที่เสนาบดีหรือข้าราชการชั้นสูงสร้างจะต่างกันที่ฐาน ปราสาทที่พระเจ้าแผ่นดินสร้าง จะสร้างอยู่บนฐานที่ทำเป็นชั้นสูง หรือสร้างบนเนินเขาดังเช่น นครวัด ที่ส่วนปรางค์ประธานจะต้องตั้งอยู่ฐานชั้นสูงหรือที่พนมบาแค็ง ที่ปราสาทสร้างอยู่บนเนินเขา สำหรับปราสาทบันทายสรี ผู้สร้างเป็นราชครู จึงต้องสร้างปราสาทบนเนินดินอาจทำเป็นฐานเตี้ยๆ ยกพื้นขึ้นเพื่อรองรับตัวปราสาทเท่านั้น


ปราสาทบันทายสรี เป็นเทวสถานขนาดเล็ก แต่มีความงามทางด้านลวดลายเป็นเลิศ ศิลปะมีลักษณะพิเศษจนต้องจัดเป็นศิลปะสมัยหนึ่งโดยเฉพาะ ศิลปะแบบบันทายสรีถูกจัดให้อยู่ในยุคราว พ.ศ. 1510-1550 ก่อสร้างด้วยหินทรายสีชมพู เนื้อละเอียด การสลักลวดลายดูอ่อนช้อย ลายคมชัด ดูมีชีวิตชีวา























วันที่ 12 ตุลาคม 2556 ระหว่างนั่งรถเพื่อมาที่ปราสาทนครวัด ฝนตกทุกคน มีร่ม หมวก พร้อม ดีที่พอมาถึงหน้าปราสาทนครวัด ฝนตกปรอยๆ แต่อากาศร้อนอบอ้าวมาก ร้อนมาก เปียกทั้งตัวเลยแถมวันนี้ใส่เสื้อสีฟ้าเห็นชัดเจนเลย ถ้าใส่เสื้อสีอ่อนๆจะมองไม่เห็น เสียดายสีของท้องฟ้าไม่สวยเป็นสีจางๆ ช่วงที่เดินกลับได้ท้องฟ้าสีฟ้าสวยก็เลยได้ถ่ายภาพไปหลายภาพทั้งตัวเปียกๆยังงั้นแหละ เอ้คนอื่นๆเค้าร้อนเหมือนเรามั๊ยนี่ นึกขึ้นได้ว่าเราเตรียมพร้อมทุกอย่างยกเว้นไม่ได้เตรียมพัดไปด้วย ย้ำว่าต่อไปอย่าลืม


ปราสาทนครวัด ก่อสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 1650 – 1693) จุดประสงค์เพื่อสร้างอุทิศถวายแก่พระวิษณุเทพในศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ และยังใช้เป็นราชสุสานเก็บพระศพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้มหาปราสาทนครวัดจึงถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสียเป็นส่วนใหญ่ อาณาขอมโบราณนั้นได้รับอิทธิพลความเชื่อจากอินเดียผ่านมาทางขวา ศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์นั้นยกย่องกษัตริย์ว่าเป็นเทพเจ้า เรียกว่า “ลัทธิเทวราชา” กษัตริย์คือตัวแทนของเทพเจ้าในโลกมนุษย์ ซึ่งมีการสร้างเทวสถานถวายให้ และเชื่อว่าเมื่อสวรรคตแล้ววิญญาณจะประทับอยู่ที่ปราสาท ซึ่งเป็นคติเทวราชาที่เชื่อว่ากษัตริย์คือเทวเจ้าอวตารลงมา ด้วยความเชื่อเช่นนี้เอง ที่ทำให้กษัตริย์ขอมเมื่อขึ้นครองราชย์ จึงตั้งหน้าตั้งตาสร้างปราสาทตลอดรัชกาลของแต่ละพระองค์ เป็นศาสนสถานสัญลักษณ์ของระบบสุริยะจักรวาลตามคติฮินดูหรือความหมายก็คือศูนย์กลางของโลกและจักรวาลนั่นเอง พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงครองอาณาจักรขอมระหว่างปี พ.ศ. 1656 – 1693 รวม 37 ปี หลังสิ้นรัชกาลของพระองค์ กษัตริย์ขอมองค์ต่างๆ ที่ขึ้นครองราชย์ยังคงมีการก่อสร้างปราสาท แต่ไม่มีปราสาทใดเลยจะยิ่งใหญ่ไปกว่ามหาปราสาทนครวัดแห่งนี้


นครวัดไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสูงส่งเลิศเลอในบรรดาปราสาทขอมทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองในตัวของมันเองด้วย นั่งคือมีฐานะเป็นทั้งเมืองหลวง และศาสนสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ที่สร้างอุทิศถวายแก่พระวิษณุ































วันที่ 12 ตุลาคม 2556 ออกจากปราสาทนครวัด เกือบ 5 โมงเย็น พวกเรามุ่งหน้าไปดูพระอาทิตย์ตกที่ ปราสาทพนมบาแคง ต้องเดินขึ้นไปบนเขามีทางเดินสะดวกไม่ชันมาก ถนนเป็นหินทุบ ไม่ได้ลาดยางเหมือนเขาท่าเพชร จ.สุราษฎร์ธานี ที่บ้านเรา เดินไประยะหนึ่งก็จะมีจุดชมวิว พวกเราแทบจะไม่หยุดพักที่จุดชมวิวเลยเนื่องจากเย็นมากแล้ว ยอมรับเลยว่าคณะนี้ร่างกายเต็มร้อยทุกคนเดินขึ้นเขาได้อย่างสบายๆ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็ขึ้นไปถึงตัวปราสาท เดินดูตัวปราสาทสักพักก็เตรียมตัวลงจากปราสาทไม่ได้รอดูพระอาทิตย์ตก แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกซึ่งก็ได้ภาพสวยงามตามสภาพของนายแบบ นางแบบ 555 ระหว่างเดินลงมาก็ได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะอีก...ซึ่งก็คือดนตรีที่เล่นโดยทหารที่พิการ นั่นเอง...พวกเราก็ได้ร่วมสนับสนุนด้วยความเต็มใจอีกเช่นเคย...ทานอาหารเย็นที่ภัตาคาร บรรยากาศเงียบ อาหารก็โอเค เจ๊คุ๋ยได้สิทธิพิเศษอีกแล้ว ทางร่้านทำอาหารเจเสริมให้อีก 2 อย่าง ร้านอาหารที่นี่แปลกนะไม่มีบริการน้ำ ต้องสั่งซื้อต่างหากไม่รวมกับราคาอาหารทัวร์สั่งให้ อาหารก็เช่นกันถ้าสั่งนอกรายการก็จ่ายเงินเพิ่ม เค้ามีเสิรฟ ขนมทองม้วนด้วย คนละ 1 ชิ้น อร่อยเชียวที่โต๊ะมีพี่ๆไม่ใช้สิทธิอีก 2 ชิ้น สิทธินั้นก็เป็นของเราล่ะซิ เย้ๆๆๆ ชอบๆๆ กลับเข้าที่พัก City Angkor Hotel.....


ปราสาทพนมบาแคงตั้งอยู่บนเขาลูกเล็กมีความสูงประมาณ 70 เมตร มีชื่อเรียกในสมัยโบราณว่าปราสาทพนมกันดาล (พนม แปลว่า ภูเขา, กันดาล แปลว่า กลาง) ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างปราสาทพนมกรอมกับปราสาทพนมบก ซึ่งอยู่บนภูเขาขนาดใกล้เคียงกัน ต่อมาเรียกปราสาทนี้ว่า ปราสาทพนมบาแคงตามลักษณะของต้นบาแคง (คล้ายต้นมะขาม) ที่มีอยู่มากในบริเวณภูเขานี้ ชื่อของปราสาทดั้งเดิมจริงๆ นั้นเรียกว่า ปราสาทยโศธระปุระ คือใช้ชื่อของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 นั่นเอง ตัวปราสาทอยู่ใจกลางของยอดเขาปราสาทพนมบาแคง จำลองลักษณะมาจากปราสาทบากอง มีสถาปัตยกรรมคล้ายกัน รูปทรงแบบปิรามิด ที่ตัวระเบียงแต่ละชั้นมีปราสาทเล็กๆ 4 มุม ภายในปรางค์ประธานมีศิวลึงค์ตั้งอยู่ตั้งแต่ พ.ศ.1450 ในปีที่เริ่มสร้างปราสาท ในขณะที่การก่อสร้างยังคงดำเนินต่อไปจาก พ.ศ. 1450-1471 นานถึง 21 ปี หลังจากนั้นอีก 40 ปีในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมปราสาทนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก พระพุทธรูปที่เห็นในปรางค์ประธานนั้น มีการอัญเชิญพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้นไปประดิษฐานบนแท่นหินทรายแทนศิวลึงค์เมื่อ พ.ศ. 2059


ปราสาทพนมบาแคง เป็นศาสนสถานแห่งแรกของเมืองพระนคร ทางขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออกเป็นเขาสูงชัน ปัจจุบันตัวปราสาททรุดโทรมลงมากแต่ยังมีความยิ่งใหญ่ เริ่มจากบันไดขึ้นสู่ปรางค์ประธานที่มีอยู่ 5 ชั้น แต่ละชั้นมีปรางค์เล็ก 12 ปราสาท รวม 5 ชั้น มี 60 ปราสาท ส่วนบนยอดมีปรางค์บริวารล้อมรอบปรางค์ประธานอีก 4 ปราสาท เสมือนเป็นการจำลองยอดเขาพระสุเมรุรวมทั้งหมดมี 89 ยอด


ตัวปราสาท ตั้งอยู่บนยอดเขา จึงเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม โดยเฉพาะเห็นยอดปราสาทนครวัดผุดขึ้นกลางป่า ในยามบ่าย แสงสาดส่องเข้าปรางค์ปราสาทนครวัดทำให้เห็นเป็นสีทอง นอกจากนั้นยังเห็นวิวได้ 360 องศา เป็นบารายทิศตะวันตกซึ่งกลางบารายนี้จะมีสระเล็กๆ เป็นที่ตั้งของปราสาทแม่บุญตะวันตก นอกจากนี้ยังเห็นตัวเมืองเสียมเรียบ เห็นยอดเขาพนมบกที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 14 กิโลเมตรและเทือกเขาพนมกุเลนทอดยาว

เวลาท่องเที่ยว : ช่วงตอนบ่าย-เย็น เพราะจะได้ดูพระอาทิตย์ส่องตัวปราสาทนครวัด หรือจะรอดูพระอาทิตย์ตกก็สวยงาม
































พบตอนต่อไป ตอนที่ 4


วันที่ 10 ตุลาคม 2556 ออกเดินทางจากสุราษฎร์ธานี

วันที่ 11 ตุลาคม 2556 พิพิธภัณฑ์ โตนเลสาบ

วันที่ 12 ตุลาคม 2556 นครธม ปราสาทบายน ปราสาทตาพรหม

วันที่ 13 ตุลาคม 2556 พระใหญ่ น้ำตก

วันที่ 14 ตุลาคม 2556 เป็นวันเดินทางกลับ




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10 เมษายน 2561)

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10-11 เมษายน 2561) การเตรียมตัว สนามบินสุราษฎร์ธานี   สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ  สนามบินนิวเดลี สนามบินศรีนาคา  เข้าพักที่ Chicago Group of Houseboats ตอนที่ 1    ตอนที่ 2     ตอนที่ 3    ตอนที่ 4     ตอนที่ 5     ตอนที่ 6 การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน การซื้อทัวร์ที่ SRINAGAR การขอ E-VISA การทำประกันการเดินทาง เดินทางในประเทศ เที่ยวไป 10 เมษายน 2561 เดินทางโดย นกแอร์ สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง เวลา 18.10 - 19.20 น. เที่ยวกลับ 17 เมษายน 2561 เดินทางโดยไลออนแอร์ ดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี 08.50-10.00 น. เดินทางต่างประเทศ เดินทางโดย Spice Jet http://www.spicejet.com/ เที่ยวไป SG88 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK - สนามบินเดลี DEL/ T3  เวลา 03.50-06.25 เที่ยวไป SG937 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินเดลี DEL- สนามบินศรีนาคา SXR  เวลา 09.50-11.40 เที่ยวกลับ SG144 วันที่ 16 เมษายน 2561 จากสนามบินศรีนาคา SXR -สนามบินเดลี DEL เวลา 12.20-14.00 เที่ยวกลับ SG87 วันที่ 16

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (7-9 เมษายน 2560 เดินทาง โกลกัตตา-นิวเดลี-เลห์)

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย (เตรียมพร้อมก่อนเดินทาง เดินทางจากสุราษฎร์ธานี-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ - สนามบินกัลกัตตา Kolkata I -สนามบินนิวเดลลี) ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5   ตอนที่ 6 ก่อนเดินทางไปเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย สิ่งแรกก็ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนก็คือดูว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศอินเดีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เดินทางไปอินเดีย ครั้งแรกไปสิกขิมอยู่ทางเหนือของอินเดีย อยู่ระหว่าเนปาลกับภูฎาน แต่เลห์ ลาดัก จะขึ้นไปทางเหนือของอินเดียมากกว่าสิกขิม เลยเมืองนิวเดลี ขึ้นไป ทางด้านปากีสถานดูแผนที่ด้านล่างประกอบนะคะ ต่อมาก็เริ่มศึกษาจากรีวิว เลห์ ลาดักห์ จากหลายๆแหล่ง มีเยอะมากแสดงว่าคนนิยมมาเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะจาก YouTube ชอบหลายคลิป โดยเฉพาะของรายการคนค้นคน...และของรายการ Travel Channel Thailand ช่วงนี้ว่างเป็นต้องชมคลิป เลห์ ลาดักห์.....เพื่อความสะดวกในการชมคลิปขอนำมาแปะที่หน้าบล็อกนี้เลย.....นี่ขนาดยังไม่ได้เดินทางไปนะคะยังฟินขนาดนี้.....😍😍 ลำดับต่อมาก็คือการจองตั๋ว ปกติไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH)

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH) ตอนที่ 1    ตอนที่ 2    ตอนที่ 3    ตอนที่ 4    ตอนที่ 5    ตอนที่ 6 12 เมษายน 2560 ตื่นเช้าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางผ่านภูเขาหิมะจากตัวเมือง Leh Ladakh สู่ Pangong Lake ทะเลสาบน้ำแข็ง กำหนดว่าจะออกเดินทาง 6.00 น. โดยเค้าจะเตรียม Breakfast Box ให้ อากาศจะหนาวมากให้เตรียมของไปให้พร้อมด้วย น้ำดื่ม และอ๊อกซิเจนกระป๋องห้ามลืมนะคะสำคัญมากๆ คณะที่ไปทะเลสาบปันกองมีที่ขอ Permit ไว้ 7 คน (น้าวัช น้องเขม น้องเอ็ต น้องพลอย น้องกิต พี่ตุ๊ พี่แดง ) ยื่นขอไว้ตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึง หิมะตกมากทางปิดมา 2-3 วันแล้วโชคดีที่วันนี้ไปได้ ระยะทางประมาณ 120 km ใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมงไปกลับ 12 ชั่วโมง...บรรยากาศระหว่างการเดินทางดูจากภาพนะคะ ชัดเจนกว่าการบรรยายแน่นอน...แบ่งเส้นทางเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือช่วงที่ออกจากเมือง Leh ถนนลาดยาง ระดับที่ 2 เริ่มออกนอกเมือง เริ่มเป็นถนนหิน+ดิน ระยะที่ 3 เป็นถนนที่เลียบภูเขาและผ่านหิมะ ค่อนข้างโหด........... จุดที่พักเข้าห้องน้ำ จุดแรกหนาวมากๆๆๆๆๆ เดินไปห้องน้ำ ต้องเ