ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 2 ท่องเที่ยวย่างกุ้ง พุกาม วันที่ 21-25 ตุลาคม 2558

ท่องเที่ยวย่างกุ้ง พุกาม วันที่ 21-25 ตุลาคม 2558
 วันที่สอง  วันที่ 22  ตุลาคม 2558 ย่างกุ้ง - พุกาม
ตอนที่ 1  ตอนที่ 2  ตอนที่ 3  ตอนที่ 4

ตื่นเช้าด้วย Morning Call จากโทรศัพท์สวยแล้ว ตอนแรกคิดว่าเค้าโชว์สวยงามไม่คิดว่าใช้ได้จริงๆด้วย ดีใจจังได้มีโอกาสใช้งานจริงด้วย ก่อนออกจากห้อง ขอเก็บภาพที่ระลึกอีกซักครั้งนะคะ นอกจากถ่ายในห้องนอนแล้ว ตรงที่นั่งเล่นด้านนอกก็สวย สมาชิกหลายคนอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพสวยๆของมุมต่างๆไว้เป็นที่ระลึกกัน















อาหารเช้าก็น่าทานใส่กล่องสวยงาม





การ Check in พวกเรามาเป็นคณะอยู่แล้ว Check in พร้อมๆกับกระเป๋าก็โหลดได้ตามปกติดีเหมือนกันไม่ต้องลากกระเป๋ากันอีก ได้เดินสบายๆ สังเกตนะคะตาชั่งเค้าวางอีกที่กับเจ้าหน้าที่ Check in ปกติเราจะเคยชินกับตาชั่งแบบใหม่ที่เป็น Digital น่ะ โดยสายการบิน Air KBZ K7-242






ระหว่างรอเครื่องถ้าเห็นที่สนามบินอื่นๆจะมีจอภาพแสดงเที่ยวบินและเวลา ขึ้นที่ Gate แต่ที่นี่เค้าใช้วิธีชูป้ายขึ้นและเดินประกาศเที่ยวบิน ตอนแรกก็งงนิดหน่อยว่าช่วง Check in นอกจากได้ Boarding pass แล้วทุกคนจะได้สติ๊กเกอร์ AIR KBZ ติดที่เสื้อทุกคน เพิ่งจะเข้าใจตอนนี้เองว่าเป็นสัญลักษณ์ให้เจ้าหน้าที่เห็นชัดว่าเราไปเที่ยวบินไหน เพราะพอถึงเวลาเค้าก็มาเรียกให้เราไปที่ Gate 




ระหว่างรอขึ้นเครื่องบินก็ถ่ายภาพเล่นเป็นที่ระลึกกันเล็กน้อย ขึ้นเครื่องจากทางด้านหลังเท่านั้นค่ะระหว่างขึ้นเครื่องแอร์โฮสเตส ก็บริการ Refreshing Towel ดีมากอากาศร้อนแดดแรงเลยระหว่างขึ้นเครื่อง เป็นเครื่องบินเล็ก 2 ที่นั่ง 2-2








บริการอาหารว่างด้วย




เมื่อถึงสนามบินยวงอู (Nyaung U) เมืองพุกาม มีเรื่องน่าตื่นเต้นก็คือระหว่างที่รอกระเป๋า พวกเราก็รอ
กระเป๋าที่จุดรับกระเป๋า ซักพักใหญ่ๆก็ไม่เห็นกระเป๋า พี่ตู่ กับอีกหลายๆคนก็พยายามถามเค้าก็บอกให้รอที่นี่ ซักพักคนที่มารับก็บอกว่ากระเป๋าอยู่ที่รถที่มารับเราแล้ว ถึงจะทำงานแบบ Manual ก็ถือว่าเป็นบริการที่ดีนะคะ เสียแต่ว่าพวกเราไม่ทราบว่าเค้าเอากระเป๋าไปให้ที่รถแล้ว ก่อนขึ้นรถทุกคนจะต้องตรวจดูกระเป๋าของตนเองก่อนนะคะว่ากระเป๋าอยู่ที่รถเรียบร้อยอย่าประมาทนะคะ กระเป๋าของทุกคนมีอยู่ที่รถเรียบร้อยทุกคน ก่อนที่จะออกจากสนามบินจะต้องจ่ายค่าเหยียบพื้นดินคนละ 20$ ประมาณ 700 บาท 

จุดแรกที่รถพาพวกเราไปก็คือ ตลาดยวงอู (Nyaung U Market ) ที่ตลาดมีของขายเยอะมาก ก็คล้ายๆตลาดสดทั่วไป ส่วนใหญ่พวกเราสนุกกับการถ่ายภาพ ประทับใจคุณยายมากพอเราเดินมาใกล้ๆร้านคุณยายจะโพสท่าถ่ายภาพสวยงามทันทีน่ารักมากๆเลยค่ะ  ราคาสินค้าก็ไม่แพง ได้ซื้อของกันนิดๆหน่อย ครูตี๋ ซื้อหมวกกันแดดกันลม พี่ตุ๊ ได้ผ้าถุงพม่า  1 ผืนราคา 5,000 จ๊าดประมาณ 150 บาท นี่ขนาดไม่ได้ต่อรองราคาอะไรมากมายเลยนะนี่ ซื้อกันอย่างรวดเร็ว ระหว่างรอรถเพราะรถส่งพวกเราลงเที่ยวที่ตลาดแล้วรถจะมารับตามเวลานัดเพราะไม่มีที่จอดรถ จะต้องไปจอดตรงอื่นก่อน ที่ตลาดฝุ่นเยอะหน่อยถ้าเตรียมผ้าปิดจมูกก็จะดีมากเลย อีกอย่างคือหมวกหรือไม่ก็ร่มควรมีติดตัวไว้เลยค่ะ

















จุดที่สองสำหรับวันนี้ก็คือ เจดีย์ชเวสิกอง (Shwezigon Zedi) เมืองพุกาม 

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวสิกอง เป็นเจดีย์ใหญ่ สวยงาม ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศพม่า เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวพม่าและชาวไทย ตั้งอยู่ที่เมืองพุกาม โดยชื่อ "ชเวสิกอง" มีหมายความว่า "เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ" (ชเว = ทอง) สร้างโดย พระเจ้าอโนรธามังช่อ แต่แล้วเสร็จในรัชกาลพระเจ้าจานสิตาแห่งอาณาจักรพุกาม ราว 960 ปีก่อน ภายในเจดีย์เชื่อว่าบรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาจากลังกา บนหลังช้างเผือก พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าช้างเผือกคุกเข่าลงที่ใดจะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น

เจดีย์ชเวสิกองเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ พื้นผิวภายนอกถูกปิดด้วยทองคำเปลว ถูกบูรณะในสมัยต่อมาอีกหลายครั้ง แต่ปัจจุบันมีความสูงราว 53 เมตร หรือ 160 ฟุต มีลวดลายปูนปั้นอยู่ 3 แถว และมีเจดีย์เล็ก ๆ เป็นบริวารอยู่รายรอบ
อ้างอิง: http://travel.kapook.com/

เมื่อเดินเข้ามาที่บริเวณทางเข้าทุกคนต้องถอดรองเท้า ใช้วิธีเดิมอีกแล้วถอดรองเท้าใส่ถุงที่เตรียมมาและใส่เป้ติดตัวไปด้วยสะดวกสุดๆแล้วค่ะ มีแม่ค้าขายดอกไม้ ขายดอกไม้นานาชนิดสวยๆทั้งนั้น แม่ค้าน่ารักมากขอถ่ายภาพก็เต็มใจให้ถ่ายจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ไม่ว่าอะไรเลย น้องพลอยกับครูกิต ตัดสินใจเลือกดอกกุหลาบสีขาวกันคนละช่อ และแถมถ่ายภาพกับแม่ค้ากันอีกหลายภาพ แม่ค้าให้ความร่วมมือดีมาก ที่ประทับใจมากอีกอย่างก็คือท้องฟ้าสีสวยมาก สีฟ้าแบบเคลียร์มาก ไม่มีเมฆ เลย สวยมากๆๆ

















เงาเจดีย์ชเวสิกองกลับหัว กว่าจะได้ภาพนี้ต้องรอคิวถ่ายภาพนานหมือนกัน มีคนมาถ่ายภาพนี้เยอะมาก ภาพนี้ไม่ได้ถ่ายเองค่ะ ให้ครูตี๋เค้าถ่ายให้ อากาศร้อนมากรอคิวไม่ไหว





เดินเยี่ยมชมสักพักก็เดินออกมา ทางเข้าทางออกจะมีขายของที่ระลึกเยอะมากเลย แต่ถึงเวลานัดพอดีเลยไม่ได้เลือกซื้ออะไร



จุดที่สาม ก็คือ วิหารกุพยางจี (Gubyaukgyi Paya) เป็นวัดสมัยต้นศตวรรษที่ 13 สร้าง
โดยโอรสของพระเจ้าจันสิทธะ เป็นอาคารสองชั้น เพดานสูงเป็นรูปโค้ง ที่กลางเพดานเป็นรูปรอยพระพุทธบาท สิ่งที่โดดเด่น คือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุดในพุกาม ด้านหน้าวิหารจะมีจำหน่ายภาพวาดมากมายเลย ส่วนใหญ่จะเดินดูภาพวาดและของที่ระลึกไม่ได้ซื้ออะไรเลยค่ะ







จุดที่สี่ วิหารติโลมินโล (Htilominlo) แปลว่าเศวตฉัตรโน้มลง สร้างโดยพระเจ้าติโลมินโล ซึ่งได้ครองราชย์เพราะเศวตฉัตรเสี่ยงทายโน้มหาพระองค์ซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องนั่นเอง รอบวิหารทั้งสี่ทิศมีพระพุทธเจ้าสี่มุม จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือลวดลายปูนปั้นที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ทางเข้ามาที่วิหารเต็มไปด้วยร้านขายสินค้า ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ที่นี่เป็นที่หนึ่งที่มีร้านเยอะมาก สินค้าก็หลากหลาย




เมื่อเดินเข้ามาในวิหารมีการใช้ดอกไม้หลากหลายชนิดมาสักการะพระพุทธรูป แต่ที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทยเลย จะเห็นที่พม่าหลายที่เลยที่เค้านำใบมะกอกมาไหว้พระพุทธรูป ไม่ทราบว่ามีความหมายอะไรหรือป่าว ใครทราบบอกด้วยค่ะ



เดินออกมาด้านนอกก็เห็นกะเหรี่ยงคอยาว สาธิตการทอผ้าด้วย วันนี้ใจแข็งมากก็ยังไม่ซื้ออะไรอีกเช่นเดิม เก่งมาก ความจริงก็อยากจะซื้อเหมือนกัน แต่ยังรู้สึกงงกับการใช้เงินจ๊าด และยังไม่ค่อยจะรู้ราคาสินค้าต้องถามไปเรื่อยๆก่อน เดี๋ยวค่อยตัดสินใจซื้อ



จุดที่ห้า วิหารอุบาลีเต็ง (Upali Thein) คำว่า อุบาลี ในสมัยพุทธกาลเป็นชื่อของพระอรหันต์องค์หนึ่งที่ก่อนบวชเคยเป็นนายภูษามาลาในราชสำนักแห่งศากยวงศ์ ได้เข้าบรรพชาก่อนขัตติยกุมาทั้งหกเล็กน้อย ต่อมาได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ มีความจำพระวินัยของสงฆ์เป็นเลิศ จนพระพุทธเจ้าถึงกับกล่าวว่าเป็น เอตทัคคะในพระวินัย และเคยทำหน้าที่เป็นผู้สอบสวนอธิกรณ์พระภิกษุทีทำผิดพระวินัยหลายครั้ง



บรรยากาศเงียบๆ เจดีย์รอบวิหารมากมาย ท้องฟ้าสวยงาม มีเมฆสีขาวเป็นแนวยาว สวยไปอีกแบบ จุดนี้ทำให้พวกเราได้ภาพถ่ายสวยๆหลายภาพ ชอบมากเลย









ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Star Beam สั่งไก่ผัดเม็ดมะม่วงจานใหญ่มาก แต่อร่อยมากขอ
บอก เสียดาที่ระหว่างรออาหาร ในคณะหลายคนก็นำอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดให้มาเมื่อเช้าเอาทานเล่นกัน และทางร้านให้บริการขนมปัง เป็น  Complimentary  (Free of Charge) ให้ทานระหว่างรออาหารเที่ยงอีกอิ่มล่ะซิทำไงดี แต่ด้วยความอร่อยของ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ทำให้ไม่มีปัญหาอะไร 555 เอาอยู่




ด้านหน้าร้านอาหารก็จะมีเด็กๆตามมาขายภาพวาด และขายสินค้าพื้นเมืองต่างๆ ขายเก่ง ตื๊อเก่งมากเลย




จุดที่หก ประตูตาราบะ (Tharabar Gate)  และกำแพงเมืองเก่า (Historic Wall) จุดนี้สมาชิกพร้อมใจกันไม่ลงจากรถขอชมความสวยงามจากบนรถ อาจเพราะอากาศร้อนและเพิ่งจะทานอาหารเที่ยงกันอิ่มๆ




จุดที่เจ็ด อนันทเจดี (Ananda Phaya) เจดีที่งดงามที่สุด อานันทะ แปลว่า ปัญญาที่ไม่สิ้นสุด (อนันตปัญญา) ของพระพุทธเจ้า ต่อมาอานันทะได้เปลี่ยนเป็นอนันทะหรืออานนท์ หมายถึงพระอานนท์  สาวกพระพุทธเจ้า พระเจ้ายันสิตทรงสร้างอนันทเจดีย์เมื่อ พ.ศ. 1634 โดยมีภิกษุอินเดียนำแบบแผนมาจากถ้ำนันทมูละ ใกล้เทือกเขาหิมาลัย สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า อาจได้แบบแผนมาจากวัดพระเมรุ นครปฐม แต่เปลี่ยนจากพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาทมาเป็นพระพุทธรูปยืน




เป็นเจดีย์ที่สวยงามและมีคนมาสักการะเยอะพอสมควร จากด้านหน้าพอเดินเข้าไปก็จะมีร้านขายดอกไม้วางอยู่ เค้าจัดดอกไม้ไหวพระสวยดีใส่แจกันทั้งดอกและใบ สะดวกในการนำไปไหว้พระอีกแบบนะคะ และเป็นร้านขายของที่ระลึกอีกมากมายทั้ง 2 ด้านของทางเข้า-ทางออก ใช้ทางเดียวกัน




ป้ายที่วางไว้ทุกวัดที่ไปก็คือป้ายห้ามใส่ถุงเท้า  ห้ามนุกกระโปรงสั้น ห้ามใส่รองเท้า และห้ามใส่เสื้อสายเดี่ยว เข้าไปในวัดโดยเด็ดขาด ตอนแรกคิดว่าเค้าห้ามเรื่องหมวก เรื่องแว่นตากันแดดด้วยแต่ไม่เห็นแต่ก็เป็นที่รู้ๆกันเองว่าเมื่อเข้าใปไหว้พระเราจะถอดหมวก ถอดแว่นตาดำกันเอง 





ไหว้พระเสร็จแล้วก็ออกมายืนรอสมาชิกที่ด้านหน้า มีเครื่องดื่มเย็นๆจำหน่าย และมีขายของที่ระลึกอีกหลายร้าน ร่มเค้าสวยดี อิอิ ขอยืมคนขายมาถือแล้วก็แชะๆ 2-3 ภาพ ไม่ได้ซื้อค่ะ พ่อค้าใจดีให้ยืมแอคชั่นถ่ายภาพ เทคนิคอีกอย่างที่เด็กๆที่นี่เค้าใช้กันก็คือบอกเราว่าเค้าสะสมเงินของประเทศต่างๆ จะขอเงินเราเป็นที่ระลึก ดีนะที่ก่อนมาเที่ยวพม่า ได้ดูรายการหนังพาไป เค้าก็โดนแบบนี้เหมือนกันมารู้ตัวอีกทีก็ให้เงินเค้าไปแล้ว ไม่งั้นคงเหมือนกันให้เงินเค้าเป็นที่ระลึกง่ายๆแน่เลย.....ไม่ได้หวงเงินเล็กๆน้อยๆหรอกนะคะ แต่อยากจะให้กับเด็กๆที่ตั้งใจทำมาหากินดีกว่า เช่น ขายของที่ระลึก ขายโพสการ์ด เป็นต้น 



จุดที่แปด วิหารสัพพัญญู (Thatbyinnyu Phaya) เป็นวิหารที่สูงที่สุดในพุกาม ได้รับการบูรณะใหม่ รวมถึงการทาสีทับผนังไม่มีลวดลายของเดิมให้ดูมากนัก สัพพัญญู แปลว่า ผู้รู้แจ้ง (พระพุทธเจ้า)







ช่วงนี้เป็นช่วงที่แดดร้อนมาก ส่วนใหญ่ก็จะเดินวนเวียนกันแถวร้านขายเครื่องดื่มกัน ที่นี้มีร้านขายสิ้นค้าร้านใหญ่เลย ทั้งเครื่องจักสาน หมวก กระเป๋า โพสการ์ด เด็กๆขายของกันเก่งมาก ต่อรองราคากันสนุก เราว่าต่อรองราคาได้ถูกแล้ว อ้าวยังมีคนต่อรองได้ถูกกว่าอีก สนุกมากๆ



โฉมหน้าสาวน้อยพม่าที่ขายโพสการ์ด พูดเก่ง หน้าตายิ้มแย้ม ต่อปากต่อคำกับลูกค้าเก่งมาก เพราะความน่ารัก เลยขายได้เยอะเชียว ซื้อโพสการ์ด แถมถ่ายรูปคู่ 555 เทคนิคการขายดีแท้











หลังจากนั้นก็เดินไปที่  วิหารนัตลองจอง (Nath Laung Kyaung) ซึ่งอยู่ใกล้ๆพอไปถึงหน้าวิหาร สามารถมองเห็น วิหารสัพพัญญู (Thatbyinnyu Phaya) จากอีกด้านนึงอย่างชัดเจนและสวยงามเชียว อาจเพราะว่าท้องฟ้าสวย แสงแดดก็โอเคมากเลย เพื่อให้ได้ภาพสวยๆร้อนก็ยอมทนค่ะ






จุดที่เก้า วิหารนัตลองจอง (Nath Laung Kyaung) วิหารนัตลองจอน (Nath Laung Kyaung) ถือว่าเป็นวิหารฮินดูที่ยิ่งใหญ่แห่งเดียวในพุกาม วิหารมีขนาดเล็ก เดินดูผ่านๆนิดหน่อยไม่ได้เข้าในด้านใน ด้านหน้าวิหารก็มีขายภาพวาด ผ้าถุง 3-4 ร้าน ต่อรองเล่นๆได้ผ้าถุงผืนละ 4,000 จ๊าดน่าจะประมาณ 120 บาท ต้องแสดงท่าทางว่าไม่อยากได้นั่นหละแม่ค้าถึงจะยอมลดราคาให้

จุดที่สิบ วิหารโลกะเตคปาน (Loka Taik Pan) โลกะเตคปาน หมายความว่า ตกแต่งไว้งามที่สุดในสามโลก เดินขึ้นทางบันได 2 ข้างบันไดมีของขายหลายอย่าง เช่น มะพร้าว  เสื้อยืด  รองเท้า เครื่องประดับ ของกินน่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยว พอเดินไปถึงได้ถ่ายภาพไป 1 ภาพ เค้าเอาผ้ามาคลุมกันฝุ่นไว้พอดีเลย






เดินขึ้นมาที่หน้าวิหาร มีภาพวาดวางขายเอยะมาก สวยๆทั้งนั้น แต่ละคนเริ่มเหนื่อยกันแล้วเลยชมวิวและนั่งเล่นกันพักใหญ่ อากาศค่อนข้างดี เย็นๆสบายๆ






จุดที่สิบเอ็ด วิหารสุลามณี (Sulamani Phaya) สุลา มาจาก สุเล ที่แปลว่า จุล ในภาษาบาลี หรือ เล็กในภาษาไทย มณีคือแก้ว รวมแล้วแปลว่าแก้วดวงเล็ก











จุดที่สิบสอง วิหารธรรมยางยี (Dhammayangyi Phaya) เจดีย์ทั้งหมดในอาณาจักรพุกาม ล้วนสร้างขึ้นด้วยความเต็มใจและแรงศรัทธาอันบริสุทธิ์ของชาวบ้านทั้งสิ้น ยกเว้นอยู่เพียงเจดีย์เดียว คือวิหารธรรมยางยี ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สร้างโดยพระเจ้านราธู กษัตริย์ที่โหดร้ายมาก ๆ เพราะพระเจ้านราธูฆ่าพระราชบิดา และพระเชษฐา เพื่อที่ท่านจะได้ขึ้นครองราชย์ แต่ภายหลังที่ได้ทำลงไปแล้วจึงรู้สึกสำนึกผิด ก็เลยอยากจะสร้างเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด สวยที่สุดกว่าเจดีย์ใด ๆ ในอาณาจักรพุกามเพื่อไถ่บาป 












จุดที่สิบสาม เจดีย์ชเวสันดอว์ (Shwesandaw Phaya) แปลว่า เส้นพระเกศาทองคำ จุดนี้เป็นไฮไลท์สำหรับวันนี้เลยค่ะ นักท่องเที่ยวจะมานั่งชมพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก ที่นี่ ที่น่าประทับใจอีกอย่างก็คือ จะมองเห็นทะเลเจดีย์ได้อย่างชัดเจน สวยงามมาก



เดินขึ้นบันไดสูงและชันซักหน่อยแต่มีราวจับแข็งแรงดี ขึ้นไปก็หยุดพักเป็นระยะๆ พอขึ้นไปแล้วหายเหนื่อยเลย ทุงเจดีสวยงาม แต่หวาดเสียวตอนถ่ายภาพ ไม่กล้า Action ซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะน้องพลอยกลัวออกหน้าอกตาเลยค่ะ 555


















พอลงมาด้านล่างอุ๊ยร้านขายของเยอะมาก โดยเฉพาะเสื้อ และ ผ้าถุง ต่อรองดีๆนะคะ เช่นตอนแรกบอกว่า 4 ผืน 500 บาท พอจะจ่ายเงินบอกว่า 3 ผืน 500 บาท พวกเราเลยบอกไม่ซื้อแล้วไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ไม่ซื้อแล้วแล้วก็เดินมาที่รถ แม่ค้าเดินตามมาแล้วก็ตื้อให้ซื้อ 4 ผืน 500 บาทตามที่ตกลง พวกเราไม่เอาแม่ค้าเลยยอมขาย 5 ผืน 500 บาท เห็นมั๊ยคะ ต้องใจแข็งมากเวลาซื้อของจะได้ราคาถูกค่ะ



เสร็จแล้วก็มาทานอาหารมื้อค่ำ 7 Sister Restaurant เป็นอาหารไทยค่ะ อร่อยดี มีความสุขกับอาหารมื้อค่ำอีกแล้วค่ะ




หลังจากนั้นเข้าที่พัก โรงแรม Thirimarlar Hotel เป็นโรงแรมเล็กๆ จัดได้น่ารักเป็นธรรมชาติ หลายคนรีบพักผ่อนเพราะว่าพรุ่งนี้เช้ามืดมีโปรแกรมไปดูประอาทิตย์ขึ้นที่ เจดีย์ชเวสันดอว์ (Shwesandaw Phaya) แต่หลานสาวคนสวย น้องพลอยขอไม่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ก็เลยตามใจหลานสาว ป้าตุ๊ น้ากิตก็ไม่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย เดี๋ยวค่อยของภาพสวยๆจากที่เค้าไปก็ได้ อาจจะได้้สวยกว่าที่เราถ่ายเองก็เป็นไปได้ 555







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10 เมษายน 2561)

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10-11 เมษายน 2561) การเตรียมตัว สนามบินสุราษฎร์ธานี   สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ  สนามบินนิวเดลี สนามบินศรีนาคา  เข้าพักที่ Chicago Group of Houseboats ตอนที่ 1    ตอนที่ 2     ตอนที่ 3    ตอนที่ 4     ตอนที่ 5     ตอนที่ 6 การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน การซื้อทัวร์ที่ SRINAGAR การขอ E-VISA การทำประกันการเดินทาง เดินทางในประเทศ เที่ยวไป 10 เมษายน 2561 เดินทางโดย นกแอร์ สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง เวลา 18.10 - 19.20 น. เที่ยวกลับ 17 เมษายน 2561 เดินทางโดยไลออนแอร์ ดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี 08.50-10.00 น. เดินทางต่างประเทศ เดินทางโดย Spice Jet http://www.spicejet.com/ เที่ยวไป SG88 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK - สนามบินเดลี DEL/ T3  เวลา 03.50-06.25 เที่ยวไป SG937 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินเดลี DEL- สนามบินศรีนาคา SXR  เวลา 09.50-11.40 เที่ยวกลับ SG144 วันที่ 16 เมษายน 2561 จากสนามบินศรีนาคา SXR -สนามบินเดลี DEL เวลา 12.20-14.00 เที่ยวกลับ SG87 วันที่ 16

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (7-9 เมษายน 2560 เดินทาง โกลกัตตา-นิวเดลี-เลห์)

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย (เตรียมพร้อมก่อนเดินทาง เดินทางจากสุราษฎร์ธานี-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ - สนามบินกัลกัตตา Kolkata I -สนามบินนิวเดลลี) ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5   ตอนที่ 6 ก่อนเดินทางไปเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย สิ่งแรกก็ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนก็คือดูว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศอินเดีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เดินทางไปอินเดีย ครั้งแรกไปสิกขิมอยู่ทางเหนือของอินเดีย อยู่ระหว่าเนปาลกับภูฎาน แต่เลห์ ลาดัก จะขึ้นไปทางเหนือของอินเดียมากกว่าสิกขิม เลยเมืองนิวเดลี ขึ้นไป ทางด้านปากีสถานดูแผนที่ด้านล่างประกอบนะคะ ต่อมาก็เริ่มศึกษาจากรีวิว เลห์ ลาดักห์ จากหลายๆแหล่ง มีเยอะมากแสดงว่าคนนิยมมาเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะจาก YouTube ชอบหลายคลิป โดยเฉพาะของรายการคนค้นคน...และของรายการ Travel Channel Thailand ช่วงนี้ว่างเป็นต้องชมคลิป เลห์ ลาดักห์.....เพื่อความสะดวกในการชมคลิปขอนำมาแปะที่หน้าบล็อกนี้เลย.....นี่ขนาดยังไม่ได้เดินทางไปนะคะยังฟินขนาดนี้.....😍😍 ลำดับต่อมาก็คือการจองตั๋ว ปกติไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH)

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH) ตอนที่ 1    ตอนที่ 2    ตอนที่ 3    ตอนที่ 4    ตอนที่ 5    ตอนที่ 6 12 เมษายน 2560 ตื่นเช้าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางผ่านภูเขาหิมะจากตัวเมือง Leh Ladakh สู่ Pangong Lake ทะเลสาบน้ำแข็ง กำหนดว่าจะออกเดินทาง 6.00 น. โดยเค้าจะเตรียม Breakfast Box ให้ อากาศจะหนาวมากให้เตรียมของไปให้พร้อมด้วย น้ำดื่ม และอ๊อกซิเจนกระป๋องห้ามลืมนะคะสำคัญมากๆ คณะที่ไปทะเลสาบปันกองมีที่ขอ Permit ไว้ 7 คน (น้าวัช น้องเขม น้องเอ็ต น้องพลอย น้องกิต พี่ตุ๊ พี่แดง ) ยื่นขอไว้ตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึง หิมะตกมากทางปิดมา 2-3 วันแล้วโชคดีที่วันนี้ไปได้ ระยะทางประมาณ 120 km ใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมงไปกลับ 12 ชั่วโมง...บรรยากาศระหว่างการเดินทางดูจากภาพนะคะ ชัดเจนกว่าการบรรยายแน่นอน...แบ่งเส้นทางเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือช่วงที่ออกจากเมือง Leh ถนนลาดยาง ระดับที่ 2 เริ่มออกนอกเมือง เริ่มเป็นถนนหิน+ดิน ระยะที่ 3 เป็นถนนที่เลียบภูเขาและผ่านหิมะ ค่อนข้างโหด........... จุดที่พักเข้าห้องน้ำ จุดแรกหนาวมากๆๆๆๆๆ เดินไปห้องน้ำ ต้องเ