ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 2 ตะลอนทัวร์ ญี่ปุ่น 31 มีนาคม - 7 เมษายน 2559 (สนามบินนาริตะ - ชมซากุระที่ Chidorigafuchi - ชมโคมแดง Kamanarimon ที่วัด Sensoji)


ตอนที่ 2 ตะลอนทัวร์ ญี่ปุ่น 1 เมษายน 2559

ตอนที่ 1    ตอนที่ 2  ตอนที่ 3  ตอนที่ 4  ตอนที่ 5  ตอนที่ 6  ตอนที่ 7
สนามบินนาริตะ & ชมซะกุระที่ Chidorigafuchi & ชมโคมแดง Kamanarimon ที่วัด Sensoji

เดินทางถึงสนามบินนาริตะ ผ่านด่าน ตม.และรับกระเป๋าเรียบร้อย พวกเราก็เตรียมความพร้อมเพื่อลุยเที่ยวกันวันนี้เลย ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ที่สนามบินค่ะ ตอนแรกน้ากิตกะจะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล่ะอยู่ในสนามบินอุ่นๆไม่หนาวเลยแต่พอดูพยากรณ์อากาศตอนนั้น 9-10 องศา ก็เลยต้องเปลี่ยนใจเป็นจัดเต็ม ไม่งั้นแย่เลย




ระหว่างนี้ก็รอน้องฟ้าตีตั๋ว Keisei Skyliner ไปกลับนาริตะ โตเกียว & Tokyo Subway Ticket  72 - hour Ticket  ราคา 5,400 เยนต่อคน ประมาณคนละ 1,400 บาท ราคาตั๋วมีหลายแบบต้องศึกษาและเลือกให้ตรงกับการเดินทางของตัวเองนะคะ 







หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟ Keisei Skyline เพื่อเข้าเมืองโตเกียว ลงสถานี Ueno ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ได้รถไฟเที่ยว 9.58 น. ถึงสถานี Ueno เวลา 10.43 น.รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย คือว่าไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยหาภาษาอังกฤษอ่านก็น้อยอยู่เหมือนกันนะ นั่งดูธรรมชาติข้างทางแป๊บเดียวก็ถึงสถานี Ueno เป็นสถานีใหญ่มีร้านใหญ่ๆขายของมากมายเลย 



น้องพลอยเช่า Pocket Wifi มาจากเมืองไทย ติดตั้งไม่ยุ่งยากอะไร แต่เวลาใช้งาน พวกเราต้องอยู่ใกล้ๆน้องพลอยห่างไม่ได้จ้ะ






เมื่อมาถึงสถานี  Ueno  จุดแรกที่น้องฟ้าพาพวกเราไปก็คือหาที่ฝากกระเป๋า คือเค้าจะมี locker บริการแบบอัตโนมัติ มีตู้ให้หยอดเงินฝากตามอัตราที่เค้าติดไว้ที่ตู้ตามขนาดของช่อง






เมื่อฝากของเสร็จเรียบร้อยจะมีสลิป พร้อม QRCode แสดงรหัสตู้ที่เราใส่กระเป๋าไว้ กว่าจะฝากได้ครบทุกใบก็ใช้เวลาพักใหญ่เหมือนกัน และแล้วก็สำเร็จฝากได้ทุกใบ  





รับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Juraku (จุระขุ) อาหารอร่อยดี แต่ว่าปริมาณมากถึงมากที่สุด จนทานไม่หมด อาจจะเพราะเราเดินทางมาหลายชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง ยังรู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ อยากจะนอนอ่ะ แต่ถ้านอนก็เสียดายที่อุตสาห์เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา พอคิดได้อย่างนี้กำลังมาจากไหนก็ไม่ทราบ พร้อมทำกิจกรรมต่างๆได้แล้วจ้า แก๊งสาวสวยทั้ง 6 สู้ๆค่ะ




อิ่มแล้วก็เดินย้อนกลับไปที่สถานี Ueno อีกครั้ง คนเยอะมากๆๆ




เดินทางโดยรถไฟใต้ดินไปชมซะกุระที่ Chidorigafuchi ใช้ตั๋ว Tokyo Subway 72 hour Ticket ที่ซื้อมาจากสนามบินนาริตะ









Chidorigafuchi จุดชมซากุระในTokyo ป็นทางเดินเลียบคูน้ำรอบกำแพงปราสาทเก่า
สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดในการเดินทางไป Chidorigafuchi คือสถานีรถไฟใต้ดิน Kudanshita

ซากุระสวยมากๆๆๆๆ บรรยายไม่ถูกเลยค่ะ ให้ดูจากภาพว่าสวยเกินบรรยายจริงๆ ความเหนื่อยจากการเดินทางจากสุราษฎร์ธานี สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินโฮจิมิน สนามบินนาริตะ ...ความสวยของดอกซากุระกับอากาศที่เย็นสบาย ทำให้พวกเราหายเหนือยหายไปเหมือนปลิดทิ้ง มีแต่ความสดชื่นตระการตา ตื่นเต้นมากเคยได้ถ่ายรูปกับดอกซากุระ 3-4 ต้นช่วงที่ไปโซล และ เจจู เกาหลีใต้ ก็ตื่นเต้นกันแล้ว ยังสมารถถ่ายภาพกันได้ทุกมุม ทุกแอกชั่น...เจอของจริงที่  Chidorigafuchi ไม่รู้จะถ่ายมุมไหนเลย...
ดีนะที่พวกเราได้ศึกษาข้อมูลมารยาทในการชมดอกซากุระที่ประเทศญี่ปุ่น มาล่วงหน้า...เลยไม่เผลไปจับกิ่งซากุระ......มารยาทที่นักท่องเที่ยวควรรู้ในการ “ชมดอกซากุระ” ที่ประเทศญี่ปุ่น

เฟซบุ๊ค “在東京タイ王国大使館 สถานเอกอัครราชทูตไทย 〆 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น” ได้โพสต์แนะนำมารยาทนักท่องเที่ยวไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมซากุระ เพื่อให้ท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานและเป็นไปตามกติกา มารยาท และเพื่อชื่อเสียงที่ดีของนักท่องเที่ยวชาวไทยในสายตาคนญี่ปุ่น

1. ไม่เด็ด หรือจับกิ่งซากุระจากต้น

2. ไม่จองที่ใหญ่เกินความจำเป็น ควรจองขนาดที่นั่งตามจำนวนคนที่มา โดยต้องเป็นที่ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

3. ควรปูที่นั่งให้ห่างออกจากรากต้นซากุระเล็กน้อย เพื่อเป็นการไม่ทำร้ายต้นซากุระ

4. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์จนเมามาย ไม่ได้สติ

5. ไม่ส่งเสียงดังอันเป็นการรบกวนผู้ที่อาศัยในแถบนั้น

6. เก็บขยะของตนเอง โดยแยกขยะและทิ้งในบริเวณที่จัดไว้





































จุดที่สองวันนี้ วัดอาซากุสะ / วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple)

วิธีการเดินทางมายังวัดอาซากุสะ

・ นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza มาลงที่สถานี Asakusa ดูแผนที่
・ นั่งรถไฟใต้ดิน Toei สาย Asakusa มาลงที่สถานี Asakusa ดูแผนที่
・ นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE มาลงที่สถานี Tobu Asakusa ดูแผนที่

วัดเซ็นโซจิ (Sensoji) เป็นวัดพุทธที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว มีประวัติความเป็นมาว่า เมื่อ ค.ศ. 628 มี 2 พี่น้องชาวประมง พบองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดเล็กที่แม่น้ำซูมิดะ (Sumida) แม่น้ำในย่านอาซาคุซะ และได้นำกลับเข้าหมู่บ้านในอาซาคุสะ แล้วที่หมู่บ้านนี้ก็ได้สร้างวัดจากบ้านหลังหนึ่งเพื่อเป็นที่เก็บรักษาองค์เจ้าแม่กวนอิม และหลังจากนั้นก็ได้สร้างวัดเซ็นโซจิขึ้นใน ค.ศ. 645

วัดเซ็นโซจิถูกทำลายลงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากนั้นก็มีการสร้างใหม่ขึ้นมาอีกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และความสงบสุข เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวของชาวญี่ปุ่น

เมื่อเดินทางมาวัดเซ็นโซจิ จะพบกับซุ้มประตูสีแดง มียักษ์เฝ้าประตูทั้ง 2 ฝั่งและที่ขาดไม่ได้เป็นโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่แขวนไว้บนซุ้มประตู ประตูนี้เรียกว่า Kaminarimon หรือ Thunder Gate เป็นประตูทางเข้าวัด
โคมไฟสีแดงขนาด 3.3 เมตร สัญลักษณ์วัดเซ็นโซจิ Asakusa

เลยจากซุ้มประตูไปจะเป็น ถนนนากามิเซะ (Nakamise dori) คำว่า dori แปลว่าถนน ถนนเส้นนี้ยาวไปจนถึงวัดเซ็นโซจิจะเป็นถนนชอปปิ้ง ขายขนม ของฝาก ของที่ระลึก ทางร้านจะให้เรายืนกินที่หน้าร้านเท่านั้นไม่ให้เดินไปกินไป ถือว่าเป็นกฎเหล็กของร้านค้าย่านถนนนากามิเซะ อาซาคุซะ เพื่อไม่ให้ขนมหกเลอะเทอะบนถนน เช่นเดียวกับพวกเรารับซื้อคิบิดังโงะ (ดังโงะลูกเล็กๆคลุกผงถั่วเหลือง) และดื่มน้ำชาเขียวหวานชื่นใจ ก็ต้องยืนกินกันข้างร้านปฏิบัติตามกฏเหล็กของร้าน...เช่นกัน





ผ่านเข้ามาในบริเวณวัดจะเห็นกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง มีผู้คนยืนโบกควันธูปเข้าหาตัวเอง เชื่อกันว่าจะทำให้โชคดี และมีกระถางกำยานตั้งอยู่ด้วย การโบกควันกำยานเข้าหาตัวเชื่อว่าจะช่วยให้หายเจ็บป่วย เจ็บป่วยส่วนไหนก็จะโบกควันกำยานไปที่อวัยวะส่วนนั้น บริเวณนี้ยังมีบ่อน้ำพุให้ชำระล้างก่อนเข้าไปสักการะพระโพธิสัตว์ในอาคาร

พระโพธิสัตว์คันนน พระประจำวัดแห่งนี้ที่ผู้คนศรัทธานั้น คือพระโพธิสัตว์กวนอิมที่คนไทยรู้จักนั่นเอง มีประวัติเล่าว่า วันหนึ่ง สองพี่น้องชาวประมงออกไปหาปลาในแม่น้ำสุมิดะ (Sumida) แล้วเหวี่ยงแหได้รูปสลักพระโพธิสัตว์คันนนสีทองติดมาด้วย จึงมีการสร้างวัดประดิษฐานพระโพธิสัตว์
หลังจากสักการะพระโพธิสัตว์แล้ว ที่นี่มีเซียมซีให้ลองเสี่ยงทาย ในภาษาญี่ปุ่นเรียกโอมิกุจิ (Omiguji) เมื่อได้ใบเซียมซีและอ่านคำทำนายแล้ว ชาวญี่ปุ่นนิยมพับแล้วไปผูกกับต้นไม้หรือบริเวณที่ทางวัดจัดไว้ ไม่ว่าคำทำนายนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เชื่อว่าจะช่วยให้ได้รับความคุ้มครอง







ช้อปปิ้งชาจากบริษัท Itoen (อิโตเอ็น) ตามอัธยาศัย

















ลองชิมขนมมันจูทอดแสนอร่อยประจำถนนช้อปปิ้ง Nakamise (นะกะมิเสะ) ณ วัดเซนโซจิ
(ไม่มีภาพประกอบเลยเดี๋ยวขอหาเพิ่มนะคะ ถ้ามีแล้วจะนำมาลงให้ดู)

เดินทางกลับไปสถานี Ueno เพื่อไปนำกระเป๋าที่ฝากไว้กลับที่พักที่สถานี Uguisudani ลงจากสถานีเดินไปที่พักไกลมากเพราะกระเป๋าใบใหญ่เลยต้องเดินอ้อมไปลงลิฟท์ เดินด้วยลากกระเป๋าไปด้วย....เหมือนกับจะท้อเลย แต่เอก่อนมาเที่ยวญี่ปุ่น..เราอุตสาห์ฟิตร่างกายแล้วต้องไหวซิ...และแล้วก็ถึงที่หมาย...ห้องพักน่าอยู่เชียวอุปกรณ์ในห้องพร้อม โซนนี้เงียบสงบดี



















เลือกซื้ออาหารเย็นราคาประหยัดที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต Inageya อยู่ตรงข้ามกับที่พักข้ามถนนก็ถึงเลยสะดวกมากๆ กินอิ่มแล้วก็นอนพักผ่อน...เดินทางไกล...แถมวันนี้ก็เที่ยวกันตลอดทั้งวัน...พรุ่งนี้ตื่นสายซักหน่อยไม่ต้องรีบ....พวกเรากำหนดเวลาเที่ยวเองได้.....ZZZZZ




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10 เมษายน 2561)

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10-11 เมษายน 2561) การเตรียมตัว สนามบินสุราษฎร์ธานี   สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ  สนามบินนิวเดลี สนามบินศรีนาคา  เข้าพักที่ Chicago Group of Houseboats ตอนที่ 1    ตอนที่ 2     ตอนที่ 3    ตอนที่ 4     ตอนที่ 5     ตอนที่ 6 การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน การซื้อทัวร์ที่ SRINAGAR การขอ E-VISA การทำประกันการเดินทาง เดินทางในประเทศ เที่ยวไป 10 เมษายน 2561 เดินทางโดย นกแอร์ สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง เวลา 18.10 - 19.20 น. เที่ยวกลับ 17 เมษายน 2561 เดินทางโดยไลออนแอร์ ดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี 08.50-10.00 น. เดินทางต่างประเทศ เดินทางโดย Spice Jet http://www.spicejet.com/ เที่ยวไป SG88 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK - สนามบินเดลี DEL/ T3  เวลา 03.50-06.25 เที่ยวไป SG937 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินเดลี DEL- สนามบินศรีนาคา SXR  เวลา 09.50-11.40 เที่ยวกลับ SG144 วันที่ 16 เมษายน 2561 จากสนามบินศรีนาคา SXR -สนามบินเดลี DEL เวลา 12.20-14.00 เที่ยวกลับ SG87 วันที่ 16

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (7-9 เมษายน 2560 เดินทาง โกลกัตตา-นิวเดลี-เลห์)

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย (เตรียมพร้อมก่อนเดินทาง เดินทางจากสุราษฎร์ธานี-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ - สนามบินกัลกัตตา Kolkata I -สนามบินนิวเดลลี) ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5   ตอนที่ 6 ก่อนเดินทางไปเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย สิ่งแรกก็ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนก็คือดูว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศอินเดีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เดินทางไปอินเดีย ครั้งแรกไปสิกขิมอยู่ทางเหนือของอินเดีย อยู่ระหว่าเนปาลกับภูฎาน แต่เลห์ ลาดัก จะขึ้นไปทางเหนือของอินเดียมากกว่าสิกขิม เลยเมืองนิวเดลี ขึ้นไป ทางด้านปากีสถานดูแผนที่ด้านล่างประกอบนะคะ ต่อมาก็เริ่มศึกษาจากรีวิว เลห์ ลาดักห์ จากหลายๆแหล่ง มีเยอะมากแสดงว่าคนนิยมมาเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะจาก YouTube ชอบหลายคลิป โดยเฉพาะของรายการคนค้นคน...และของรายการ Travel Channel Thailand ช่วงนี้ว่างเป็นต้องชมคลิป เลห์ ลาดักห์.....เพื่อความสะดวกในการชมคลิปขอนำมาแปะที่หน้าบล็อกนี้เลย.....นี่ขนาดยังไม่ได้เดินทางไปนะคะยังฟินขนาดนี้.....😍😍 ลำดับต่อมาก็คือการจองตั๋ว ปกติไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH)

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH) ตอนที่ 1    ตอนที่ 2    ตอนที่ 3    ตอนที่ 4    ตอนที่ 5    ตอนที่ 6 12 เมษายน 2560 ตื่นเช้าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางผ่านภูเขาหิมะจากตัวเมือง Leh Ladakh สู่ Pangong Lake ทะเลสาบน้ำแข็ง กำหนดว่าจะออกเดินทาง 6.00 น. โดยเค้าจะเตรียม Breakfast Box ให้ อากาศจะหนาวมากให้เตรียมของไปให้พร้อมด้วย น้ำดื่ม และอ๊อกซิเจนกระป๋องห้ามลืมนะคะสำคัญมากๆ คณะที่ไปทะเลสาบปันกองมีที่ขอ Permit ไว้ 7 คน (น้าวัช น้องเขม น้องเอ็ต น้องพลอย น้องกิต พี่ตุ๊ พี่แดง ) ยื่นขอไว้ตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึง หิมะตกมากทางปิดมา 2-3 วันแล้วโชคดีที่วันนี้ไปได้ ระยะทางประมาณ 120 km ใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมงไปกลับ 12 ชั่วโมง...บรรยากาศระหว่างการเดินทางดูจากภาพนะคะ ชัดเจนกว่าการบรรยายแน่นอน...แบ่งเส้นทางเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือช่วงที่ออกจากเมือง Leh ถนนลาดยาง ระดับที่ 2 เริ่มออกนอกเมือง เริ่มเป็นถนนหิน+ดิน ระยะที่ 3 เป็นถนนที่เลียบภูเขาและผ่านหิมะ ค่อนข้างโหด........... จุดที่พักเข้าห้องน้ำ จุดแรกหนาวมากๆๆๆๆๆ เดินไปห้องน้ำ ต้องเ