ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 1 เดินทางบาหลี ย็อกยาการ์ตา จาการ์ต้า 2-9 พ.ค.2559 (สุราษฎร์ธานี-ดอนเมือง-บาหลี)

ตอนที่ 1 สุราษฎร์ธานี-ดอนเมือง-บาหลี วันที่ 2 -5 พฤษภาคม 2559

ตอนที่ 1   ตอนที่ 2 
เดินทางจากสุราษฎร์ธานีด้วยสายการบิน ThaiLion Air Flight No: SL735 Boarding Time 10.00 น.
วันที่ 2 พฤษภาคม 2559 พักค้าคืนที่โรงแรมเอเชียแอร์พอท เซียร์รังสิต






Shopping ชิ้นแรกเลยก็คือ Power Bank น่ารักมากๆ เลือกซื้อเพราะความน่ารักคุณภาพไม่สน 555




เช้าวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 หลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อย Check Out สะดวกหน่วยทางโรงแรมเรียกรถ Taxi ให้ แต่ว่าวันนี้ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นรถติดมากๆๆ เอจะไปทันเวลานัดป่าวนะนี่ แอบเครียดนิดๆ


นัดพบกันที่สนามบินดอนเมือง อาคาร 1 ประตู 2 เคาน์เตอร์แถวที่ 1, 2 สายการบินแอร์เอเชียมาถึงก็มีคณะมากันแล้วเกือบจะครบกันแล้วล่ะ รีบไปแลกเงินดอลล่า ก่อนเป็นอันดับแรก แลกเงินที่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เรทแลกเงินอยู่ที่ 35.38 บาท/ดอลล่า แลกมา 300 ดอลล่าเป็นเงินไทย 10,614 บาท มีเงินดอลล่าเหลือจากที่ไปพม่าอีก 70 ดอลล่า คงพอล่ะนะ



เดินทางเที่ยวบินที่ QZ521 ไปบาหลีเครื่องออกเวลา 12.00 น.ถึงบาหลี 17.15 น. เวลาที่บาหลีจะเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง Thai Immigration มาด้วย ระหว่างนี้ก็เขียนใบ Thai Immigration บัตรขาออก (Departure Card) กรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม แนะนำให้เขียน บัตรขาเข้า ( Arrival Card)ไว้เลยนะคะ ขียนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ ระวังตรงลายเซ็น ลงชื่อให้เหมือนกับ Passport นะขอย้ำ




ขั้นตอนต่อไปก็คือการผ่านด่าน Immigration

ขั้นตอนแรกต้องขึ้นบรรไดไปชั้นบนเพื่อผ่านการ scan จุดนี้ scan ละเอียดมาก เสร็จแล้วก็เดินลงมาชั้นล่างเลี้ยวซ้ายสำหรับคนไทย ถ้าเลี้ยวขวาสำหรับชาวต่างชาติ ผ่านด่านเป็นระบบอัตโนมัติ ก็เร็วดีแต่บางครั้งก็มีปัญหาบ้างเหมือน จุดแรกยื่นบัตร departure card ให้เจ้าหน้าที่ เปิดหน้าพาสปอร์ตที่มีภาพถ่ายคว่ำ และ Scan Boarding Pass ประตูจะเปิดให้เข้าไปทำขั้นตอนต่อไปที่พื้นมีรอยเท้าให้เหยียบบนรอยเท้า ตามองกล้องถ่ายภาพ ยืนนิ่งๆถ่ายภาพอัตโนมัติ หลังจากนั้นให้วางนิ้วชี้บนที่วาง วางให้เต็มนิ้วอย่ากดแรงไป ประตูจะเปิดอัตโนมัติ เสร็จขั้นตอนการผ่านด่านตรวรคนเข้าเมือง


ระหว่างรอก็หาอาหารกลางวันทานกันตามอิสระ เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้สิทธิของสมาชิกบัตรเครดิต CiTi แลกอาหารว่างสำหรับสมาชิกที่เดินทางไปต่างประเทศ



ระหว่างเดินทางแอร์โฮสเตสแจกเอกสาร Customs Declaration กรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มให้ครบ ส่วนข้อ 11 อ่านดีๆนะคะ ตอบ No ทุกข้อถ้าเราไม่มีของต้องห้ามติดตัวมา



ถึงสนามบินงูห์ราลัย (Denpasar Ngurah Rai International Airport) เมืองบาหลี ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย รอรับกระเป๋า มีไกด์ : Teddy มารอรับคณะอยู่ด้านนอก ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันอย่างรวดเร็วกับภาพรูปปั้นนางยักษ์ ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามีความหมายว่าอะไรทำไมถึงนำมาตกแต่งไว้ที่นี่ใครทราบบอกหน่อยค่ะ




ระหว่างทางที่จะไปรับประทานอาหารเย็น Teddy นำพวกเรามาแลกเงิน รูเปีย (Rp) ที่ Central Kuta Money Exchange 1 ดอลล่า = 13,025 Rp ถ้าคิดเป็นเงินไทย 1 บาท = 371.88 Rp






หลังจากแลกเงิน Rp กันเรียบร้อยสถานีต่อไปก็คือ Kuta Plaza Restuarant รับประทานอาหารมือเย็น/ค่ำ อาหารอะไรมาก็อร่อยทั้งนั้นล่ะ ยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เที่ยงมื้อนี้จัดเต็มซะหน่อย เป็นอาหาร Chinese Style



เข้าพักที่ Sri Bungalow ที่เมืองอูบุด (Ubud) ที่พักเป็นแนวธรรมชาติเป็นหลัง มีต้นไม้ปกคลุมทั่วบังกโล การตกแต่งห้องก็น่ารักมากๆ สไตล์โบราณนิดๆ พอก้าวเท้าเข้าห้องได้กลิ่นดอกลีลาวดี ที่เค้าเอามาจัดวางบนที่นอน เดินทางมาทั้งวันนอนหลับสนิทเลยค่ะ ตามสูตร 6-7-8 ปลุก 6 โมง ทานอาหารเช้า 7 โมง ออกเดินทาง 8 โมง














วันที่ 4 พฤษภาคม 2559 ตื่นเช้าก็เดินเล่นบริเวณที่พักรอเวลาอาหารเช้าเค้าเริ่มเสริฟเวลา 7 โมง เป็นอาหารสั่งเป็นชุดๆ เลือกสั่งได้ตามเมนู อาหารน่าทานดีค่ะ













ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็มานั่งเล่นหน้าบ้าน มีมุมกาแฟที่หน้าบ้านให้บริการด้วย






บริเวณหน้าบ้านมีต้นไม้ร่มรื่นดีจังเลย



เริ่มด้วย Shopping ผ้า Batik ตั้งใจว่าจะเข้าไปเพื่อเช็คราคาก่อนคงไม่ซื้อล่ะ แต่พอเข้าไปก็อดใจไม่ไหวซื้อทั้งผ้าถุง เสื้อ เข็มขัด ประเดิมเช้าวันนี้ก่อน ใช้เวลาที่ร้านนี้พอสมควรเกือบๆ 1 ชั่วโมง












วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เทมภัคสิริงค์ (Tampak Siring) หรือ เตียต้า เอ็มพูล (Tirta Empul Holy water temple)
ศาสนสถานที่เก่าแก่ และเป็นที่เคารพสักการะของชาวบาหลี ซึ่งมีอายุมากกว่าพันปี ในสมัยโบราณใช้ประกอบพิธีทางศาสนาในราชวงศ์กษัตริย์เท่านั้น ต่อมาจะเปิดให้ชาวบ้านได้เข้าไปกราบสักการะกัน
วัดแห่งนี้ชาวบาหลีส่วนใหญ่มักนิยมเรียกว่า ปุระ เตียต้า เอ็มพูล (Pura Tirta Empul) เป็นวัดในศาสนาฮินดู (Pura แปลว่า วัด ส่วน Tirta Empul ก็หมายถึงบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ หรือบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ) ตั้งอยู่ใกล้เมือง เทมภัคสิริงค์ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย วัดแห่งนี้มีถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ราว ปีคศ.962 (ศตวรรษที่ 10-14) สมัยราชวงศ์วาร์มาเดวา (Warmadewa Dynasty)

บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ (เตียต้า เอ็มพูล) เป็นน้ำพุจากธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากตาน้ำใต้ดินมาเป็นเวลายาวนานนับพันปี โดยไม่มีทีท่าว่าจะหมด สำหรับชื่อ เทมภัคสิริงค์ แปลว่า รอยเท้า มีเรื่องเล่าขานที่ถึงมาที่ไปของน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อยู่บ้าง (รบกวนหาอ่านกันดูนะคะ เรื่องยาวอยู่เหมือนกัน) เอาเป็นว่า ชาวบาหลีมีความเชื่อกันว่า น้ำพุธรรมชาติ เตียต้า เอ็มพูล แห่งนี้ พระอินทร์เป็นผู้บันดาลให้เกิดน้ำพุ ดังนั้น ชาวบาหลีจึงมีความเชื่อว่า ถ้าได้อาบน้ำ และดื่มกินจะเป็นสิริมงคล และขับไล่สิ่งเลวร้าย ทั้งยังช่วยรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ ดังนั้น ในวันสำคัญของทุกปี โดยเฉพาะวันเปลี่ยนศักราชใหม่ จะเห็นทั้งชาวบาหลี และนักท่องเที่ยวต่างพากันเดินทางมาต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อได้อาบน้ำ ล้างหน้า รดศีรษะ ดื่ม หรือรองน้ำเก็บใส่ภาชนะกลับบ้าน อันเป็นการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ และเป็นสิริมงคลเพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ๆ

โดยก่อนจะเข้าไปเคารพเทมภัคสิริงค์ เมื่อผ่านประตูทางเข้าท่านจะพบบ่อน้ำล้างตัวให้บริสุทธิ์ก่อน พิธีกรรมนี้มีชื่อเรียกว่า เมลูกัต (Melukat) ทุกท่านจะได้รับผ้าคาดเอว และโสร่งนุ่ง เก็บผมให้เรียบร้อย เพื่อเป็นการเคารพสถานที่ ตอนออกก็ต้องถอดคืนเขาด้วยนะคะ จากนั้นที่ด้านหน้า เทมภัคสิริงค์ หรือก่อนเข้าไปถึงบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เทมภัคสิริงค์ หรือ เตียต้า เอ็มพูล จะมีพราหม์สวดมนต์และทำพิธีไหว้สักการะที่โต๊ะบูชาให้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเคารพเทมภัคศิริงค์ตามพิธีแบบฮินดู พร้อมดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นจึงค่อยอาบน้ำพุกันที่อ่างอาบน้ำโบราณ เตียต้า เอ็มพูล เวลาเดินเข้าไปด้านภายในจะมี บ่อน้ำอยู่ 3 บ่อ บ่อแรกเป็นบ่อปลาคาร์พจำนวนมากในน้ำใส่ บ่อถัดมาจึงเป็นบ่อสำหรับลงไปอาบ ผู้ที่มาอาบจะนำกระทงใส่ของสักการะ ทำจากเปลือกต้นกล้วยหรือใบตอง ในกระทงนั้นจะมีทั้งอาหารและดอกไม้ เอากระทงไปวางที่บนแท่นหัวปล่อยน้ำ หน้าหัวปล่อยน้ำพุไหลออกมาให้อาบทั้ง 12 หัว หัวปล่อยน้ำอยู่สูงกว่าศีรษะผู้มาอาบ น้ำไหลลงศีรษะได้พอดี น้ำในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์น้ำจืดสนิท น้ำจากบ่อผุดนั้นจะส่งไปตามท่อให้ชาวบ้านที่ศรัทธามาอาบ บางคนกรอกน้ำใส่ในขวด นำกลับบ้านเพื่อดื่มแก้โรคภัยไข้เจ็บได้ ไม่ต่างจากความเชื่อของไทยเรา

ค่าเข้าชมคนละ 15,000 Rp

ที่มาของข้อมูล : http://www.indochinaexplorer.com/viewhotshot.php?hotid=190





















ทางเดินที่จะผ่านทางออกจะมีร้านขายเสื้อผ้าและของที่ระลึกเป็นแถวยาวจนถึงที่จอดรถ ย้ำๆๆเลยนะคะว่าต่อรองราคาเยอะๆเลยค่ะ 3-4 เท่า ที่วัดนี้ใช้เงินไทยซื้อของได้เลยค่ะ












ชิมกาแฟ ขี้ชมด

รายการนี้ไม่ได้อยู่ในรายการทัวร์หรอกค่ะ ไกด์ถามความคิดเห็นสมาชิก ส่วนใหญ่อยากแวะชิมชา กาแฟกัน ก็เลยได้มาที่นี่ ทางเดินที่จะไปที่ชิมชา เค้าจะผ่านต้นไม่ร่มรื่นเขียวชอุ่ม ตลอดทางเดินเชียวเหล่านางแบบก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพสวยๆเป็นที่ระลึกกัน










ชา กาแฟ มีหลากหลายชนิดให้ชิมฟรี เฉพาะกาแฟขี้ชมด KOPI LUWAX เท่านั้นที่ต้องจ่ายเงินถ้วยละ 50,000 Rp. คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 135 บาท 1 ถ้วยก็แบ่งๆกันชิมรสเข้มๆขมๆมากเลย ชิมเสร็จแล้วใครสนใจซื้อก็ซื้อได้ตามอัธยาศัย



ชิมมันซะทุกชนิด รสชาดตีกันอุตลุด เลยตอบไม่ได้ว่ารสชาดไหนอร่อยบ้างแยกไม่ออกเลยจริงๆ




นี่ไงโฉมหน้ากาแฟขี้ชมด KOPI LUWAK


สมาชิกชิมชา กาแฟกันสนุกสนาน เค้าจะจัดมาให้เป็นชุดๆละ 4 คน


ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถ พวกเราเดินเบี่ยงมาอีกด้าน ด้านนี้ต้นโกโก้ มีลูกให้เห็นทั้งสีเขียวสีแดง สวยงาม ดึงดูดใจเหล่านางแบบให้แวะถ่ายภาพกันอีกหลายภาพ นางแบบมืออาชีพทั้งนั้น












หมู่บ้านคินตามณี ชมวิวภูเขาไฟและทเลสาบบาตูร์ (Kintamani Batur Volcano and Lake Batur View)
เสียดายจังเลยวันนี้ท้องฟ้า อย่าที่เห็นในภาพมืดครึ้ม พอลงจากรถ Teddy ให้รีบถ่ายภาพก่อนทานข้าว กลัวฝนตกซะก่อน อาหารมื้อเที่ยงที่นี่เป็นบุฟเฟ่ต์ มีให้เลือกหลากหลายชนิด ทานข้าวอิ่มแล้วค่อยหามุมสวยๆถ่ายภาพอีกซักหน่อย





















ชมวัดเบซากีห์ (Besakih mother temple)


วัดเบซากิห์ ได้ชื่อว่าเป็วัดที่มีความสำคัญที่สุด และถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเหนือวัดทั้งปวง วัดเบซากีห์ตั้งอยู่ในเขตเมืองการังกาเซ็มคนที่นี่ยกให้เป็นวัดหลวงหรือวัดคู่บ้านคู่เมือง มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยวัดใหญ่น้อยรวมอยู่ด้วยกันถึง 22 วัดตรงกลางคือวัดใหญ่สุด โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟกุนุง อากุง ด้วยความสูง 3142 เมตร สูงที่สุดในบาหลี เพิ่งระเบิดครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2506 ในส่วนของวัดเบซากิห์นั้น วัดที่ใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุดตั้งอยู่ตรงกลางมีนามว่า วัดเปนาทารัน อากุง วัดนี้จะคึกคักมากที่สุดช่วงงานเทศกาล ปีหนึ่งๆจะจัดกันถึง 50 ครั้ง ผู้คนนับร้อยนับพันในชุดแต่งกายสไตล์บาหลี พากันแห่แหนมาทำพิธีท่ามกลางความงามของวิวทิวทัศน์แบบพาโนราม่า ตลอดจนภาพของภูเขาไฟที่น่าประทับใจเป็นฉากเบื้องหลัง วัดเบซากิห์ตั้งอยุ่บนความสูง 1000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บนเส้นทางขึ้นเขาสู่ปากปล่องภูเขาไฟกุนุง อากุง ช่วงเวลาเที่ยวชมเหมาะที่สุดคือตอนเช้า เพราะเมื่อเริ่มสายขึ้นเรื่อยๆเมฆหมอกจะพากันมาปกคลุมจนไม่สามารถมองเห็นยอดเขาได้อย่างชัดเจนอีกทั้งยังคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่พากันมาชื่นชมความงามอย่างมากมาย ขณะเดียวกัน แม้วัดเบซากิห์ถือเป็นวัดสำคัญที่สุดของบาหลีก็ตามที แต่มีเรื่องน่าผิดหวังหลายอย่างเพราะบรรดานักท่องเที่ยวจะถูกกันไม่ให้ย่างกรายเข้าไปเที่ยวชมภายในได้เหมือนที่อื่นๆอีทั้งยังต้องแข่งกับเวลาก่อนที่เมฆหมอกจะแผ่มาปกคลุม ตรงกลางซึ่งเป็นวัดใหญ่ ใช้ประกอบพิธีสำหรับชนชั้นวรรณะสูง ห้ามบุคลที่ไม่ได้นับถือศาสนาฮินดูเข้าไปอย่างเด็ดขาด

อ้างอิงข้อมูล : http://taraarryatravel.com/info_page.php?id=707&category=34

ค่าเข้าชมวัดคนละ 15,000 Rp. เมื่อมาถึงวัดเบซากีห์ Teddy ก็เตรียมผ้าถุงให้กับลูกทัวร์ทุกคนทั้งหญิงชาย มีบางคนก็เตรียมผ้าถุงมาเอง กว่าจะนุ่งผ้าถุงได้เหมาะกับตัวเองก็ต้องให้พี่สาวช่วย ก็โอเคตามสภาพล่ะนะ หลังจากนั้นก็รวมพลถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันก่อนที่จะเดินไปที่วัด ตรงจุดนี้ใครไม่อยากเดินก็สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซต์ไปก็ได้แต่ส่วนใหญ่ขอเดินกันทดสอบสมรรถภาพร่างกายกัน ไปถึงเร็วบ้างช้าบ้างทุกคนก็สามารถไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ



















ระหว่างเดินขึ้นไปที่วัดก็สวนกับชาวบาหลีที่กลับจากทำพิธี แต่งกายสวยงามตามสไตล์บาหลี






เดินมาถึงด้านหน้าก็รอสมาชิกมาถึงเพื่อถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึกสวยๆอีกซักภาพ



หลังจากนั้นก็เดินทั่วๆบริเวณ เก็บภาพความทรงจำเป็นระยะๆ
















ด้านหน้าวัดก็จะมีแม่ค้าขายผลไม้บ้าง ข้าวโพด และของกินอื่นๆ เยอะแยะเลย เย็นมากแล้วหลายคนหิวก็ซื้อของกินกันหิวเล็กๆน้อย


พอเดินกลับมาขั้นรถมีร้านค้าตลอดทาง เดินกันได้เพลินเชียว ขากลับก็จะมีบางท่านที่ไม่ไหวก็นั่งมอเตอร์ไซต์กลับ สุดท้ายก็ได้ของที่ระลึกกันคนละชิ้นสองชิ้น เสียดายจังไม่ค่อยจะมีความรู้ในการเลือกซื้อผ้าปาเต๊ะ เลยเก็ซื้อไว้เป็นที่ระลึกว่าซื้อจากที่ไหนเท่านั้นเองค่ะ



สถานที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้ก็คือ ชมถ้ำช้าง หรือ ปุรากัวกาจาห์ (Goa Gajah/Elephant cave)
อยู่ในเขตกลุงกุง ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวดัตช์ เมื่อปี ค.ศ. 1923 มีสิ่งที่โดดเด่นคือแผ่นหินแกะสลักหน้าปากทางเข้าถ้ำ ลักษณะเป็นการเจาะจากด้านหน้าของหินผา มองดูคล้ายใบหน้าช้าง บางก็ว่าคล้ายยักษ์อ้าปากกว้าง ชาวบาหลีเชื่อว่าคือปากของปีศาจร้าย ภายในถ้ำเป็นรูปตัวที ด้านหนึ่งจะเป็นรูปปั้นพระพิฆเนศ อีกด้านเป็นรูปปั้นศิวลึงค์ 3 แท่ง แทนเทพ 3 องค์ คือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม ตามความเชื่อของฮินดู ด้านหน้าปากถ้ำเป็นสระศักดิ์สิทธิ์ มีน้ำไหลพุ่งจากปากปล่องแกะสลักเป็นรูปอิสตรี 6 นาง ชาวบาหลีเชื่อว่า ถ้าใครอยากมีลูก ลองมาดื่มหรืออาบน้ำที่นี่ จะมีลูกสมปรารถนา ภายในถ้ำแห่งนี้มีทางเดินยาว 13 เมตร นำไปสู่ทางแยกรูปตัวทีกว้าง 15 เมตร สถานชั้นในนี้มืด อับชื้น และมีช่องเล็กๆหลายช่อง และมีควันธูปตลบอบอวล เชื่อกันว่าอาจจะเคยเป็นที่จำศีลภาวนาของเหล่าฤษีหรือดาบส ปลายด้านหนึ่งของทางเดินมีรูปปั้นพระคเนศ 4 กร และเทพที่ฉันไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นองค์ใด พร้อมมีเครื่องเซ่นสักการะอยู่ด้านหน้าของรูปสลัก ด้านหนึ่งมีศิวลึงค์ 3 องค์ ที่สลักขึ้นจากศิลาก้อนหนึ่งและตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน และเนื่องจากพระคเนศเป็นโอรสของพระศิวะ และลึงค์มีไว้พื่อบูชาพระศิวะ จึงมีผู้สรุปว่า โกอา ฏาจะห์ คือวัด หากแต่ข้อสรุปนี้ยังขัดแย้งกับคูหาจำศีลและโบราณสถานของชาวพุทธที่อยู่นอกถ้ำและริมแม่น้ำ ที่ปากถ้ำมีรูปปั้นของ ฮารีตี ผู้นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นทั้งนางมารและนางฟ้า ครั้งหนึ่งนางกลืนกินเด็ก แต่ก็กลับใจมาเป็นชาวพุทธที่ดี สาบานจะเลิกกินมนุษย์เป็นอาหาร และปฏิบัติตนเป็นผู้คุ้มครองเด็ก









ถึงเวลาอาหารมื้อเย็นที่ Bebek Tepi sawah/ Cripy Duck





กลับถึงห้องพัก หอมกลิ่นดอกลีลาวดี ชื่นใจจังเลย นอนหลับสบายเลยล่ะคืนนี้



ตื่นเช้าได้มีเวลาเดินไปทั่วบริเวณของรีสอร์ทด้านใน เล่าความประทับใจด้วยภาพนะคะที่นี่เน้นธรรมชาติมีทั้งดอกไม้ มีทุ่งนาด้วย เดินไปจนสุดทางก็เดินกลับมาทางอาหารเช้า เตรียมเก็บกระเป๋าพร้อมเดินทางต่อค่ะ


















อาหารเช้าวันนี้ น่าทานมั๊ยคะ



ตามโปรแกรมเช้านี้ ชมตลาดอูบุด (Ubud Local art market) และพระราชวังอูบุด (Ubud Palace) อยู่บริเวณเดียวกัน รถเข้าไปในบริเวณนี้ไม่ได้ จะต้องเดินเข้าไปชม เช้านี้อากาศค่อนข้างร้อน เดินนิดเดียวเหงื่อเต็มตัวเลยล่ะ













ปุราสาระวาตี (Pura Sarawati) วัดซึ่งตั้งอยู่ในสวนน้ำพร้อมกับสระบัวขนาดใหญ่ สองข้างทางของทางเข้าจะเรียงรายไปด้วยดอกบัวจำนวนมาก ถือได้ว่าเป็นวัดที่มีความงดงามอย่างมากอีกแห่ง










ชมวัดทามัน อยุน (Pura Taman ayun / Royal temple)

วัดทามันอายุนหรือปุราทามันอายุน(Pura Taman Ayun) ได้รับฉายาว่า"วัดหลวงแห่งราชวงศ์เม็งวี" เป็นวัดที่เคยเป็นวังเก่า สร้างสมัยศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ประกอบพิธีของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวี กำแพงและประตูวัดก่อด้วยหินสูง หลังคาปูด้วยหญ้าอลัง สิ่งก่อสร้างด้านในตกแต่งเป็นลวดลายสวยงามตามแบบบาหลีและมีสระน้ำล้อมรอบ การเข้าชมต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 10,000 Rp




























ระหว่างเดินทางไปชมวัดอูลัน ดานู บราตัน (Pura Ulun danu beratan/Temple on the Lake)รถติดมากๆๆ ไม่สามารถไปได้ Teddy เลยถามความคิดเห็นของสมาชิกว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่ก็เปลี่ยนเส้นทางไปชมวัดทานาห์ลอตและรับประทานอาหารเที่ยงที่นั่นเลยจะดีมั๊ย ทุกคนประเมินสถานการณ์แล้วตกลงไปวัดทานาห์ลอตเลย


วัดทานาห์ลอตหรือปุราทานาห์ลอต (Pura Tanah Lot) ( คำว่า Pura หมายถึงวัด Tanah หมายถึงโลก ส่วน Lot หมายถึงทะเล ) ได้รับฉายาว่า"วัดที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดของบาหลี" เสียค่าเข้าชมคนละ 30,000 Rp เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนชายหาดริมทะเล มีลักษณะเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล สร้างโดยนักบวชฮินดูชื่อ ดัง ฮยัง นิราร์ธา ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 เพื่ออุทิศให้แก่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล ชาวบาหลีเชื่อว่าเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ วัดสร้างอยู่บนโขดหินลักษณะคล้ายเกาะ เวลาน้ำขึ้นจะดูเหมือนวัดอยู่กลางทะเล เวลาน้ำลดผู้คนสามารถเดินข้ามไปยังตัววัดได้ มีทิวทัศน์สวยงามมาก ส่วนด้านนอกจะเป็นตลาดขายสินค้าพื้นเมืองราคาถูก นักท่องเที่ยวนิยมมาซื้อกันที่นี่















ช้อบปิ้งที่ Outlet มีสินค้าหลากหลาย เช่นผ้าบาติก ผ้าถุง กาเกง เสื้อยืด ทุกคนรู้สึกว่าจะสดชื่นขึ้นมาโดยฉับพลันเชียว ได้ Shopping กันอีกแล้ว




รับประทานอาหารเย็นที่คูตาพลาซ่า (Kuta Plaza)


เข้าพักที่โรงแรม HARRIS Hotel Tuban Bali ที่ คูตา ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินงูห์ราลัย (Denpasar Ngurah Rai International Airport) เมืองบาหลี ตอนเช้าทางโรงแรมจะมีรถไปส่งที่สามบิน




















ตื่นเช้า Check Out เรียบร้อย ทางโรงแรมเตรียมอาหารเช้าใส่กล่องให้ไปทานที่สนามบินงูห์ราลัย (Denpasar Ngurah Rai International Airport) เมืองบาหลี ระหว่างรอ Check in ยอร์กยา....
Bye Bye Bali.....See you soon again.....

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10 เมษายน 2561)

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10-11 เมษายน 2561) การเตรียมตัว สนามบินสุราษฎร์ธานี   สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ  สนามบินนิวเดลี สนามบินศรีนาคา  เข้าพักที่ Chicago Group of Houseboats ตอนที่ 1    ตอนที่ 2     ตอนที่ 3    ตอนที่ 4     ตอนที่ 5     ตอนที่ 6 การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน การซื้อทัวร์ที่ SRINAGAR การขอ E-VISA การทำประกันการเดินทาง เดินทางในประเทศ เที่ยวไป 10 เมษายน 2561 เดินทางโดย นกแอร์ สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง เวลา 18.10 - 19.20 น. เที่ยวกลับ 17 เมษายน 2561 เดินทางโดยไลออนแอร์ ดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี 08.50-10.00 น. เดินทางต่างประเทศ เดินทางโดย Spice Jet http://www.spicejet.com/ เที่ยวไป SG88 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK - สนามบินเดลี DEL/ T3  เวลา 03.50-06.25 เที่ยวไป SG937 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินเดลี DEL- สนามบินศรีนาคา SXR  เวลา 09.50-11.40 เที่ยวกลับ SG144 วันที่ 16 เมษายน 2561 จากสนามบินศรีนาคา SXR -สนามบินเดลี DEL เวลา 12.20-14.00 เที่ยวกลับ SG87 วันที่ 16

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (7-9 เมษายน 2560 เดินทาง โกลกัตตา-นิวเดลี-เลห์)

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย (เตรียมพร้อมก่อนเดินทาง เดินทางจากสุราษฎร์ธานี-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ - สนามบินกัลกัตตา Kolkata I -สนามบินนิวเดลลี) ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5   ตอนที่ 6 ก่อนเดินทางไปเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย สิ่งแรกก็ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนก็คือดูว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศอินเดีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เดินทางไปอินเดีย ครั้งแรกไปสิกขิมอยู่ทางเหนือของอินเดีย อยู่ระหว่าเนปาลกับภูฎาน แต่เลห์ ลาดัก จะขึ้นไปทางเหนือของอินเดียมากกว่าสิกขิม เลยเมืองนิวเดลี ขึ้นไป ทางด้านปากีสถานดูแผนที่ด้านล่างประกอบนะคะ ต่อมาก็เริ่มศึกษาจากรีวิว เลห์ ลาดักห์ จากหลายๆแหล่ง มีเยอะมากแสดงว่าคนนิยมมาเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะจาก YouTube ชอบหลายคลิป โดยเฉพาะของรายการคนค้นคน...และของรายการ Travel Channel Thailand ช่วงนี้ว่างเป็นต้องชมคลิป เลห์ ลาดักห์.....เพื่อความสะดวกในการชมคลิปขอนำมาแปะที่หน้าบล็อกนี้เลย.....นี่ขนาดยังไม่ได้เดินทางไปนะคะยังฟินขนาดนี้.....😍😍 ลำดับต่อมาก็คือการจองตั๋ว ปกติไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH)

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH) ตอนที่ 1    ตอนที่ 2    ตอนที่ 3    ตอนที่ 4    ตอนที่ 5    ตอนที่ 6 12 เมษายน 2560 ตื่นเช้าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางผ่านภูเขาหิมะจากตัวเมือง Leh Ladakh สู่ Pangong Lake ทะเลสาบน้ำแข็ง กำหนดว่าจะออกเดินทาง 6.00 น. โดยเค้าจะเตรียม Breakfast Box ให้ อากาศจะหนาวมากให้เตรียมของไปให้พร้อมด้วย น้ำดื่ม และอ๊อกซิเจนกระป๋องห้ามลืมนะคะสำคัญมากๆ คณะที่ไปทะเลสาบปันกองมีที่ขอ Permit ไว้ 7 คน (น้าวัช น้องเขม น้องเอ็ต น้องพลอย น้องกิต พี่ตุ๊ พี่แดง ) ยื่นขอไว้ตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึง หิมะตกมากทางปิดมา 2-3 วันแล้วโชคดีที่วันนี้ไปได้ ระยะทางประมาณ 120 km ใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมงไปกลับ 12 ชั่วโมง...บรรยากาศระหว่างการเดินทางดูจากภาพนะคะ ชัดเจนกว่าการบรรยายแน่นอน...แบ่งเส้นทางเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือช่วงที่ออกจากเมือง Leh ถนนลาดยาง ระดับที่ 2 เริ่มออกนอกเมือง เริ่มเป็นถนนหิน+ดิน ระยะที่ 3 เป็นถนนที่เลียบภูเขาและผ่านหิมะ ค่อนข้างโหด........... จุดที่พักเข้าห้องน้ำ จุดแรกหนาวมากๆๆๆๆๆ เดินไปห้องน้ำ ต้องเ