ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

I Love Surat Thani. เกาะพลวย หมู่เกาะอ่างทอง อ.เกาะสมุย วันที่ 17 - 19 เมษายน 2559

I Love Surat Thani. เกาะพลวย หมู่เกาะอ่างทอง อ.เกาะสมุย วันที่ 17 - 19 เมษายน 2559

เกาะพลวย อยู่ในหมู่ที่ 6 ของตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเกาะขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองรองจากเกาะวัวตาหลับซึ่งบางส่วนของเกาะอยู่ใน เขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ประมาณครึ่งเกาะ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนพ.ศ. 2523 กรมอุทยาน ได้ประกาศหมู่เกาะอ่างทองเป็นอุทยานแห่งชาติ เป็นแห่งที่ 21 ของประเทศ ส่วนเหลือเป็นที่อยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ถ้าดูจากแผนที่ด้านล่างและสังเกตุด้วยสายตา การเดินทางจาก อำเภอดอนสัก สามารถนั่งเรือตรงไปยังเกาะพลวยได้เลย จะสะดวกกว่าการเดินทางจาก อำเภอเกาะสมุย 


วันที่ 17 เมษายน 2559

การเดินทางสู่ The Virgin Island เกาะพลวย เคยเห็นข้อมูลจากใน Youtube และอ่าน Review มาบ้างแต่ข้อมูลก็ไม่เยอะ ที่มีก็อาจจะซ้ำๆ  บอกใครๆว่าจะไปเกาะพลวยเค้ามักจะถามว่าอยู่ที่ไหน จังหวัดอะไร รวมพลคนเดินทางในครั้งนี้ ก็มี ครูสมชาย ครูภัทริน ครูตี๋  ครูดิง ครูทิพยรัตน์ ครูสุธน ครูกิต น้องจิ๊ก และ พี่หนุ่ย นั่งรถตู้โรงเรียนไปที่ท่าเรือไปเกาะพลวย ที่อำเภอดอนสัก รอขึ้นเรือ เวลาประมาณบ่ายโมง
ระหว่างนี้แต่ละคนก็เตรียมซื้อของกันเยอะแยะ คิดว่าไปถึงที่โน่นคงหาขอกินยากแน่ๆ เตรียมพร้อมไว้ก่อนทั้งน้ำดื่ม กาแฟ ขนมปัง น้ำอัดลม น้องขวัญที่ทำทัวร์มารอรับพวกเราที่ท่าเรือ ระหว่างนี้ก็จะมีสินค้าต่างๆมาส่งขึ้นเรือไปส่งที่เกาะพลวย และเกาะที่เป็นทางผ่าน  ช่วงที่พวกเราเดินทางเป็นช่วงที่อากาศร้อนมากทุกคนเลยจัดเต็มทั้งหมวก แว่นตา ครีมกันแดด 


ระหว่างรอเรือก็ถ่ายภาพบรรยากาศที่ท่าเรือกันก่อนเป็นที่ระลึก


เรือที่พวกเราเดินทางไปเกาะพลวย จะมีวันละเที่ยวเดียวเท่านั้น จากเกาะพลวยออกเดินทางประมาณ  7.30 น. มาถึงท่าเรือดอนสักประมาณ 9.30 น. และจะออกจากท่าเรือดอนสักประมาณ 13.00 น.ถึง
เกาะพลวยประมาณบ่ายสองโมง  จะมีท่าเรือวันคู่และท่าเรือวันคี่ ค่าเรือคนละ 150 บาท


เรือจะเป็น 2 ชั้น รองรับผู้โดยสารประมาณ 45 คน ชั้นบนมีเสื่อปูให้สามารถนั่งและนอนเล่นได้ ชั้นล่างมีเป็นที่นั่งมีเสื้อชูชีพวางให้บริการ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการบรรทุกสินค้ามากกว่า เป็นสินค้าที่จะนำไปใช้หรือจำหน่ายที่เกาะพลวยน่ะค่ะ หรือไม่ก็จะส่งสินค้าที่เกาะทางผ่าน ก็จะมีเรือเล็กออกมารับสินค้า


แต่พวกเราสมัครใจออกมานั่งรับลม ชมวิว ทิวทัศน์ ด้านนอกกัน และจะเห็นปลาโลมากระโดดให้เห็นเป็นระยะๆ ทำให้พวกเราได้ตื่นเต้นกันตลอดการเดินทาง 





น้องชายเรา จัดเต็มค่ะ ปลอกแขน แว่นตา ยังไม่เห็นหมวกปีกสวยงามของน้องดิง สวยมากๆ ขอบอก




เดินทางมาได้เกือบจะถึงเกาะพลวย ก็จะมีเรือมารับของที่ส่งมาจากท่าเรือดอนสัก









ถึงท่าเรือแล้ว มีรถมารับพวกเรา สาวๆนั่งด้านใน หนุ่มๆ นั่งที่กะบะหลัง ไปที่พัก Angthong Beach Resort




ค่าที่พักห้องละ 1,400 บาท ที่พักบรรยากาศเงียบๆ ร่มรื่นดีมาก ถึงแม้ว่าช่วยนี้จะเป็นหน้าร้อน อากาศร้อน แต่ลมพัดทำให้สบายๆ ไม่อบอ้าว พวกเราเลยมารวมพลกันที่ริมชายหาด มีเก้าอี้นั่งเล่นไว้บริการด้วย นั่งที่ริมชายหาดสบายกว่าขึ้นไปบนห้องพัก บนห้องพักจะอบอ้าวกว่าเยอะเลย เนื่องจากที่นี่เค้าใช้พลังงานกันอย่างประหยัด รีสอร์ทที่เกาะพลวยมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะพักแบบโฮมสเตย์ 




นั่งเล่นกันที่ริมชายหาด อากาศดีมาก 





ห้องพักก็จัดน่ารักดี เจ้าของรีสอร์ท อธิบายเรื่องการใช้เครื่องไฟฟ้า ย้ำเลยนะคะว่าไดร์เป่าผม ที่หนีบผม ห้ามใช้โดยเด็ดขาด เนื่องจากที่เกาะพลวยใช้พลังงานจาก พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม เครื่องไฟฟ้าต่างๆต้องออกแบบมาเป็นพิเศษที่ใช้พลังงานน้อยกว่าปกติ กลางคืนประมาณ 5 ทุ่มเค้าก็จะปิดไฟ ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศร้อนมากด้วย ดีที่รีสอร์ทอยู่ติดกับทะเล อาศัยลมจากทะเลช่วยได้เยอะ 








ก่อนทานอาหารมือเย็นก็ไปเที่ยวกันที่สำนักชี และจุดชมวิว ถนนค่อนข้างแคบและชัน นั่งลุ้นกันตลอดทางเลย  ระหว่างทางก็จะเห็นนกเงือก  แต่ฟังจากไกด์เล่าให้ฟังว่าที่เกาะพลวย จะไม่มีต้นมะพร้าวเลยซักต้น เพราะโดนโรคระบาดต้นมะพร้าวตายหมดเลยค่ะ ทางขึ้นจุดชมวิว ต้องผู้ชำนาญเส้นทางเท่านั้นทางชันมาก และอยู่ระหว่างการสร้างทาง ช่วงที่ขึ้นไปมีเฉพาะคณะเราเท่านั้น สวนกับรถคนงานก่อสร้างด้านบนเพียง 2 คันเท่านั้น


จุดแรกที่ไปก็จะเป็นสำนักชี อยู่ระหว่างก่อสร้าง ไกด์ขับรถผ่านๆให้ชม สมาชิกลงมติว่าของดูแบบนี้พอแล้ว ไม่ต้องลง เงียบมากๆ ไม่มีคนเลยค่ะ ทางค่อนข้างชันมากๆๆ นั่งลุ้นตลอดทาง


จุดที่สองคือ จุดชมวิว ว๊าววว สวยมาก เสียดายที่พวกเรามาถึงที่นี่ก็เย็นมาก ท้องฟ้าไม่เปิดครึ้มๆ แต่ก็ถือเป็นโชคดีที่ได้ดูพระอาทิตย์ตกดิน










ป้ายจุดชมวิว ช่างกำลังทาสี ยังไม่เสร็จเลยค่ะ




แล้วก็มาแวะซื้อของกินเล่นกันที่ร้านค้า อิอิ ของที่ซื้อมาจากดอนสักก็มีอีก 2-3 ถุงตุนมาเยอะมาก ซื้อเพิ่มกันอีกล่ะค่ะ







กลับถึงรีสอร์ท แม่ครัวก็เตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อย เป็นอาหารง่ายๆ






อิ่มแล้วก็มาเดินเล่นกันที่ชายหาด ครั้งแรกก็ตั้งใจจะเล่นน้ำกันที่หน้ารีสอร์ท แต่แล้วทุกคนก็เปลี่ยนใจของนอนพักดีกว่าพรุ่งนี้เราจะต้องตื่นเช้า เพื่อนั่งเรือไปเที่ยวหมู่เกาะอ่างทองอีก 


เช้าวันที่ 18 เมษายน 2559
ตื่นเช้าทานข้าวต้ม  กาแฟร้อน เรียบร้อย ก็รอเรือที่จะนำพวกเราไปยังหมู่เกาะอ่างทอง ไกด์บอกว่าช่วงเช้าน้ำขึ้น เราสามารถขึ้นเรือที่หน้ารีสอร์ทได้









เตรียมใส่เสื้อชูชีพเรียบร้อย การเดินทางด้วยเรือหางยาวไปยังหมู่เกาะอ่างทอง ก็เริ่มขึ้น





จุดแรกของหมู่เกาะอ่างทอง ก็คือ เกาะวัวตาหลับ
ทุกคนดูหน้าตาสดชื่น มุ่งมั่นที่จะไปที่จุดชมวิว ไกด์ กับ ขวัญเจ้าของทัวร์ ไม่ขึ้นไปกับพวกเราด้วย แต่เค้าก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าของที่ไม่สำคัญไม่ต้องเอาไปให้เอาไปที่จำเป็น และน้ำดื่ม ก็พอ ดีนะที่เชื่อไกด์เลยเอาไปแต่กระเป๋าใบเล็ก  โทรศัพท์ และน้ำดื่มเอาไว้จิบ






เกาะวัวตาหลับ

เกาะวัวตาหลับอยู่บริเวณอ่าวคาเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ด้านหน้าของที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เป็น หาดทรายขาวสะอาดเหมาะแก่การ เล่นน้ำ นอนเล่นพักผ่อนริมหาด มีจุดชมวิวที่สวยงามเมื่อขึ้นไปจุดชมทิวทัศน์ทางทะเลบนยอดเขาจะมองเห็นหมู่เกาะอ่างทองทั้งหมดที่ทอดตัวเรียง รายเป็นแนวยาวด้วยรูปร่างต่างๆ แปลกตาโดยจะมีจุดชมวิว ทั้งหมด 4 จุด การเดินทางไปจุดชมวิวอาจเป็นเพียงระยะทางแค่ 500 เมตรแต่เส้นทาง ชันมากเต็มไปด้วยก้อนหินและ ค่อนช้างสมบุกสมบัน ใช้เวลาเดินขึ้น 30- 45 นาที (แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคนนะคะว่าจะใช้เวลาเท่าไร) ควรใส่รองเท้าหรับปีนป่ายจะได้สะดวกขึ้น





จุดชมวิวผาจันทร์จรัส Pha Jun-Jaras Nature Trail  เกาะวัวตาหลับ
ระยะทาง 500 เมตร ตอนแรกก็คิดว่าจิ๊บๆ เคยเดินไกลกว่านี้ อิอิ พอเดินจริงๆ ไม่ได้สบายอย่างที่คิด หลอกล่อให้เราตายใน 20-30 เมตรแรก ที่เค้าทำทางเดินเรียบร้อยแล้ว เดินได้สะดวก แต่หลังจากนั้นขอถอนคำพูดที่ว่าจิ๊บๆ



จุดพักแรกยังยิ่มออกอยู่ค่ะ พอถึงจุดพักที่ 2 เริ่มมีคนที่ยอมแพ้ขอนั่งรอแล้วล่ะ










เริ่มๆจะยอมแพ้แล้ว สู้ๆ ไปต่อๆ




สุดท้ายก็ยอมแพ้ เหลืออีก 20 เมตร สุดท้ายไม่กล้าจริงๆ เป็นหินแหลมๆ ถ้าพลาดแล้วตกในซอกหิน อุ๋ยย ไม่อยากจะคิดว่าจะมีอะไรเกิด แต่มี 3 หนุ่มกับ 1  สาว ที่เป็นผู้พิชิตจุดชมวิวผาจันทร์จรัส Pha Jun-Jaras Nature Trail ต้องปรบมือให้เลยค่ะ  น้องจิ๊ก  น้องดิง  น้องตี๋ และ พี่สมชาย สุดยอดมากๆ



ทะเลใน

ตั้งอยู่บนเกาะแม่เกาะซึ่งอยู่ห่างจากเกาะวัวตาหลับไปทางทิศเหนือ ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 15 นาที มีลักษณะเป็นทะเลสาบซึ่งเกิดอยู่ใน แอ่งยุบขนาดใหญ่ของภุเขาหินปูน มีรูปเป็นวงรีล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน เนื้อที่ของทะเลในมีประมาณ 41 ไร่ โดยมี เส้นผ่าศูนย์กลาง กว้าง 250 เมตร ยาว 350 เมตร น้ำลึกประมาณ 7 เมตร เนื่องจากทะเลในมีทางเข้าออกของน้ำทะเล ทางด้าน ทิศตะวันออก ทำให้ระดับน้ำของทะเลในเท่ากับ ระดับน้ำทะเล ภายนอก แต่สีของน้ำทะเลในแตกต่างจากทะเลภายนอกเพราะ ท้องน้ำตื้นและมีพื้นส่วนใหญ่เป็น ทราย ที่ทะเลในทางขึ้นจุดชมวิวชันมากแต่เค้าทำขั้นบรรได้เรียบร้อยแต่เพิ่งจะผ่านชุดชมวิวที่เกาะวัวตาหลับ ขอยอมแพ้ล่ะนะ แดดร้อนมากด้วยไม่ไหวๆ ขอนั่งรอข้างล่างนี่แหละสบายสุดแล้ว














เกาะสามเส้า
ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเกาะแม่เกาะ เป็นแหล่งประการังค่อนข้างสมบูรณ์ วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ ประมาณ 1 กิโลเมตร มีสะพานหินธรรมชาติที่ยื่นโค้งออก ไปในทะเล มีหาดทรายขาวสะอาด  เหมาะแก่การตั้งที่พักแรม ว่ายน้ำและชมปะการัง จากเกาะสามเส้าจะมองเห็นประติมากรรมธรรมชาติคล้าย ปราสาทหิ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาของเกาะแม่เกาะ  พอมาถึงเกาะสามเส้าก็คือหาที่นั่งพักผ่อนกันตามอัธยาศัย รอเวลาทานอาหารเที่ยง หลังจากนั้นก็นอนเล่นกันเพลินๆ อากาศร้อนมากๆ รอเวลาเย็นๆหน่อยจะได้เล่นน้ำทะเลกัน 














หลังจากกลับออกมาจากเกาะสามเส้า ไกด์ก็ขับเรือหางยาววนให้พวกเราดูปลาโลมา เยอะมากทั้งสีขาวและสีชมพู และก็หาทำเลในการเล่นน้ำกันไกด์พยายามหาที่เงียบๆให้ แต่พวกเราสนใจเล่นน้ำที่คนเยอะๆ เลยตัดสินใจมากเล่นน้ำที่หาดสองพี่น้องกระโดดมันทั้งชุดนั้นแหละสนุกดี ได้เวลากลับไปที่เกาะพลวย ขากลับน้ำที่หน้ารีสอร์ทลดลงมากเรือเข้าไปไม่ได้ เค้าต้องไปส่งที่ร่องน้ำไกลออกไปจากหน้ารีสอร์ท สมาชิกทุกคนต้องช่วยขนสัมภาระจากเรือไปเก็บ เป็นการเดินทางที่ชิลๆจริงๆ กลับถึงรีสอร์ทก็อาบน้ำเตรียมตัวออกไปศึกษาดูงานศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด โรงเรียนเกาะพลวย จังหวัดสุราษฎร์ธานี  โดยมี ผอ.พีระพล สาระคง ผู้อำนวยการโรงเรียน และนายรฐนนท์ ชูหนู ครูโรงเรียนเกาะพลวยเป็นวิทยากรให้ความรู้



































กลับที่พักและทานอาหารมื้อเย็น คืนนี้ต้องรีบนอนแล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าต้องทานอาหารให้เรียบร้อยและเก็บสัมภาระต่างๆอย่างช้า 6.30 น. เรือจะออกจากท่าเรือ 7.30 น.เผื่อเวลาเดินทางนิดหน่อย






วันที่ 19 เมษายน 2559 ก่อนกลับก็เก็บภาพถ่ายเพิ่มเติม



รวมพลถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนลงเรือกลับ เก่งๆกันทุกคนเลยนะ




พาหนะลำเดิมที่เราจะเดินทางจากเกาะพลวยไปท่าเรือดอนสัก ขามาไม่ทราบว่ามีที่นั่งด้านบนก็สงสัยอยู่ว่าผู้โดยสารอื่นๆเค้าขึ้นเรือแล้วไปไหนนะ เพิ่งจะรู้วันนี้ว่ามีชั้นบนแถมมีเสื่อปูนั่งเล่น นอนเล่นได้สบายเลย 


























พิพิธภัณฑ์ปลาหิน




















วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ (วัดหลวงพ่อจ้อย)













ร้านขนมจีนจานเพล้ง 


สวนตาสรรค์ปลาตอด





ก่อนกลับอย่าลืมแวะซื้อกล้วยอบน้ำผึ้งทอด อร่อยมาก ที่ปี๊ม ปตท.แถวบ้านใน


จบทริป โหดๆ ชิลๆ อย่างสนุก Have a good trip.........See you soon,the Virgin Island. "เกาะพลวย"

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10 เมษายน 2561)

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10-11 เมษายน 2561) การเตรียมตัว สนามบินสุราษฎร์ธานี   สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ  สนามบินนิวเดลี สนามบินศรีนาคา  เข้าพักที่ Chicago Group of Houseboats ตอนที่ 1    ตอนที่ 2     ตอนที่ 3    ตอนที่ 4     ตอนที่ 5     ตอนที่ 6 การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน การซื้อทัวร์ที่ SRINAGAR การขอ E-VISA การทำประกันการเดินทาง เดินทางในประเทศ เที่ยวไป 10 เมษายน 2561 เดินทางโดย นกแอร์ สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง เวลา 18.10 - 19.20 น. เที่ยวกลับ 17 เมษายน 2561 เดินทางโดยไลออนแอร์ ดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี 08.50-10.00 น. เดินทางต่างประเทศ เดินทางโดย Spice Jet http://www.spicejet.com/ เที่ยวไป SG88 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK - สนามบินเดลี DEL/ T3  เวลา 03.50-06.25 เที่ยวไป SG937 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินเดลี DEL- สนามบินศรีนาคา SXR  เวลา 09.50-11.40 เที่ยวกลับ SG144 วันที่ 16 เมษายน 2561 จากสนามบินศรีนาคา SXR -สนามบินเดลี DEL เวลา 12.20-14.00 เที่ยวกลับ SG87 วันที่ 16

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (7-9 เมษายน 2560 เดินทาง โกลกัตตา-นิวเดลี-เลห์)

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย (เตรียมพร้อมก่อนเดินทาง เดินทางจากสุราษฎร์ธานี-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ - สนามบินกัลกัตตา Kolkata I -สนามบินนิวเดลลี) ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5   ตอนที่ 6 ก่อนเดินทางไปเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย สิ่งแรกก็ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนก็คือดูว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศอินเดีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เดินทางไปอินเดีย ครั้งแรกไปสิกขิมอยู่ทางเหนือของอินเดีย อยู่ระหว่าเนปาลกับภูฎาน แต่เลห์ ลาดัก จะขึ้นไปทางเหนือของอินเดียมากกว่าสิกขิม เลยเมืองนิวเดลี ขึ้นไป ทางด้านปากีสถานดูแผนที่ด้านล่างประกอบนะคะ ต่อมาก็เริ่มศึกษาจากรีวิว เลห์ ลาดักห์ จากหลายๆแหล่ง มีเยอะมากแสดงว่าคนนิยมมาเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะจาก YouTube ชอบหลายคลิป โดยเฉพาะของรายการคนค้นคน...และของรายการ Travel Channel Thailand ช่วงนี้ว่างเป็นต้องชมคลิป เลห์ ลาดักห์.....เพื่อความสะดวกในการชมคลิปขอนำมาแปะที่หน้าบล็อกนี้เลย.....นี่ขนาดยังไม่ได้เดินทางไปนะคะยังฟินขนาดนี้.....😍😍 ลำดับต่อมาก็คือการจองตั๋ว ปกติไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH)

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH) ตอนที่ 1    ตอนที่ 2    ตอนที่ 3    ตอนที่ 4    ตอนที่ 5    ตอนที่ 6 12 เมษายน 2560 ตื่นเช้าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางผ่านภูเขาหิมะจากตัวเมือง Leh Ladakh สู่ Pangong Lake ทะเลสาบน้ำแข็ง กำหนดว่าจะออกเดินทาง 6.00 น. โดยเค้าจะเตรียม Breakfast Box ให้ อากาศจะหนาวมากให้เตรียมของไปให้พร้อมด้วย น้ำดื่ม และอ๊อกซิเจนกระป๋องห้ามลืมนะคะสำคัญมากๆ คณะที่ไปทะเลสาบปันกองมีที่ขอ Permit ไว้ 7 คน (น้าวัช น้องเขม น้องเอ็ต น้องพลอย น้องกิต พี่ตุ๊ พี่แดง ) ยื่นขอไว้ตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึง หิมะตกมากทางปิดมา 2-3 วันแล้วโชคดีที่วันนี้ไปได้ ระยะทางประมาณ 120 km ใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมงไปกลับ 12 ชั่วโมง...บรรยากาศระหว่างการเดินทางดูจากภาพนะคะ ชัดเจนกว่าการบรรยายแน่นอน...แบ่งเส้นทางเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือช่วงที่ออกจากเมือง Leh ถนนลาดยาง ระดับที่ 2 เริ่มออกนอกเมือง เริ่มเป็นถนนหิน+ดิน ระยะที่ 3 เป็นถนนที่เลียบภูเขาและผ่านหิมะ ค่อนข้างโหด........... จุดที่พักเข้าห้องน้ำ จุดแรกหนาวมากๆๆๆๆๆ เดินไปห้องน้ำ ต้องเ