ตอนที่ 1 ดินทางหลวงพระบาง 7-11 มกราคม 2560 (7-8 มกราคม 2560)
ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4
วันที่ 7 มกราคม 2560 เดินทางจากสุราษฎร์ธานี มุ่งสู่หลวงพระบาง โดยไปต่อเครื่องที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง มีข้อพึงระวังในการเดินทางไปต่างประเทศนะคะ อย่าลืมตรวจวันหมดอายุของพาสปอต เพราะข้อกำหนดของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ของประเทศลาวพาสปอตต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนไม่งั้นทางสายการบินจะไม่ยอมให้เราเช็คอิน เพราะเค้ากลัวว่าถ้าเราไปถึงแล้วเข้าประเทศไม่ได้เค้าต้องรับผิดชอบขากลับของผู้โดยสาร
หลวงพระบาง เป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก
ส่วนรายละเอียดอื่นๆในขั้นตอนการผ่าน ตม.ก็เหมือนๆเดิมถ้าไงก็ย้อยกลับไปอ่านบันทึกก่อนๆเพื่อทำความเข้าใจนะคะ ส่วนเอกสาร Immigration ของลาวทำสวยเชียวมีข้อมูลที่ต้องกรอกไม่เยอะ ขอย้ำสถานที่พักที่ลาวเตรียมรายละเอียดไว้ด้วยนะคะ และลายเซ็นให้เหมือนกับพาสปอต....
ผ่านด่าน ตม.ของประเทศลาวแล้ว จ้าวปุ่นเจ้าของ Guest House สนิทกับพี่ตู่ พี่ยิ่ง เสมือนญาติเลยล่ะคะ มารอรับไปส่งที่ Levady Guest House ฟรีค่ะ....
นำกระเป๋าเก็บเรียบร้อยก็เดินเล่นในเมืองหลวงพระบาง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เยอะพอสมควร ความตั้งใจแรกกะว่าจะเช้าจักรยานขี่เล่น เห็นสภาพแล้วไม่ไหว เดินน่าจะโอเคกว่า ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ Taxi จะมีบริการทั่วเมืองเลยค่ะ ที่ประทับใจมากๆก็คืออาคารต่างๆ เป็นแบบโบราณถึงแม้จะเป็นอาคารสร้างใหม่ก็เป็นรูปแบบเดียวกัน ไม่มีตึกสูงๆ เกสเฮาส์เยอะมาก เดินไปตรงไหนก็มีด้านล่างเป็นร้านอาหารด้านบนก็จะให้บริการที่พัก การจัดร้านอาหารเครื่องดื่มก็คล้ายๆกันจะมีเก้าอี้ด้านหน้าร้าน ฝรั่งมักจะนั่งดื่มชากาแฟ นั่งอ่านหนังสือ เล่นอินเทอร์เน็ต จะนั่งแบบเงียบๆชิลๆ สำหรับคนที่ชอบบรรยากาศแบบนี้เหมาะเลยล่ะค่ะที่จะมาเที่ยวหลวงพระบางไม่ต้องเร่งรีบ สบายๆ ฝรั่งเยอะมาก
ทดลองเข้าไปแลกเงินที่ธนาคารลาว อยากจะลองใช้เงินกีฟ ถ้าไม่แลกเงินก็สามารถใช้เงินไทยได้ แต่ถ้าจำนวนเงินเยอะๆ รวมๆส่วนต่างก็เป็นเงินสูง ก็มีทางเลือกให้ 1.แลกเป็นดอลล่าห์เพื่อมาแลกเป็นเงินกีฟ 2.ใช้เงินไทยแลกเป็นเงินกีฟ 3.ใช้เงินไทย เพื่อความสะดวก 1 บาท = 229 กีฟ ในการจ่ายแต่ละครั้งลองคำนวณดูนะคะ
ส่วนนี้ขอคัดลอกบันทึกจากของน้องพลอยมาเลยค่ะ
------------------------------------------------------
เดินไปทานมื้อเย็นที่ “ร้านตำหนักลาว” ร้านอาหารที่เป็นหน้าเป็นตาและอยู่คู่เมืองมรดกโลกแห่งนี้มากว่า 18 ปี ใครที่เคยชินกับร้านอาหารติดแอร์ในบ้านเราอาจต้องผิดหวังเล็ก ๆ เพราะที่นี่มีแต่อากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติเท่านั้น ตอนที่ไปถึงที่ร้านแขกยังไม่เยอะมากนัก พวกเราเลือกนั่งบริเวณระเบียงชั้นสองเพื่อชมวิวถนนยามค่ำคืน สำหรับมื้อแรกที่หลวงพระบางวันนี้ เราสั่ง “สลัดหลวงพระบาง” เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นางเอกของเมนูเห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ถ้าไม่ใช้ “ผักน้ำ” หรือ “watercress” ผักท้องถิ่นที่ขึ้นตามแหล่งน้ำสะอาดที่มีน้ำไหลผ่านเอื่อย ๆ ตามด้วยผักสลัดอื่น ๆ แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม หมูสับรวน และสลัดเดรสซิ่ง ผักสดหวาน กรอบ เข้ากันกับน้ำสลัดครีมรสชติออกหวานเล็ก ๆ นัวมาก อีกเมนูที่ต้องสั่งเมื่อมาที่ร้านนี้คือ “ไส้อั่วหลวงพระบาง” เป็นไส้อั่วหมูปรุงรสแบบไม่ใส่เครื่องแกงเหมืองไส้อั่วเชียงใหม่ รสชาติพอดี ๆ ไม่จัดจ้านมาก กินแบบราดน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวานเข้ากันลงตัว คนที่ไม่กินเผ็ดน่าจะชอบเมนูนี้ ส่วนเมนูอื่น ๆ ที่สั่งมีผัดผัก ลาบปลา ห่อหมกปลา ปลาแม่น้ำโขงปรุงรสทอด แล้วก็น้ำพริกผัดสด อร่อยทุกอย่างจริง ๆ สมแล้วที่เป็นร้านสำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
------------------------------------------------------
เป็นอาหารมื้อแรกที่หลวงพระบางที่แสนประทับใจ
ส่วนนี้ขอคัดลอกบันทึกจากของน้องพลอยมาเลยค่ะ
------------------------------------------------------
อิ่มท้องแล้ว สถานี้ต่อไป “ตลาดมืด” ชื่อฟังดูน่ากลัวเล็ก ๆ แต่จริง ๆ มันก็คือตลาดนัดตอนกลางคืนหรือ “Night Market” บ้านเรานั่นเอง อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษเพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก ส่องคนมากกว่าดูของอีก ของที่ขายส่วนมากก็คล้าย ๆ กันไปหมดอย่าง ผ้าซิ่น ผ้าไหม ผ้าพันคอผ้าฝ้ายลาว เสื้อยืด ชาชนิดต่าง ๆ ที่บรรจุในถุงกระดาษสา โคมไฟกระดาษสาที่ดัดแปลงเป็นรูปทรงต่าง ๆ หนึ่งในหัตกรรมขึ้นชื่อของหลวงพระบาง ที่วางโทรศัพท์มือถือทำจากไม้ไผ่เพ้นท์ลายต่าง ๆ อย่างดอกลีลาวดีหรือดอกจำปาลาว ดอกซากุระ ต้นไผ่
-------------------------------------------------------------------
ตลาดมืด จะมีทุกคืนดีนะที่เกสเฮาส์เราอยู่ใกล้ตลาดมากจะเดินออกมาตอนไหน เบื่อๆแล้วอย่าจะเดินกลับได้ตลอดเวลา คืนนี้คนเยอะมาก ทำได้เพียงเดินดูสินค้าผ่านๆ สอบถามราคาสินค้าไว้ อุ๋ย ราคาสินค้าค่อนข้างสูงเชียว คืนพรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ เพราะว่าคืนนี้อากาศหนาวมากไม่ไหวแล้วขอกลับไปนอนก่อน........
เช้าวันที่ 8 มกราคม 2559 เดินไปตลาดเช้าไม่ไกลจากที่พัก เดินไปประมาณ 6 นาทีก็ถึงตลาดเช้า
ทานอาหารเช้ากันอิ่มได้เวลาเดินชมเมืองกันแบบเต็มๆซะหน่อย เดินไปเก็บภาพเป็นที่ระลึกไปเรื่อยๆ อีกกิจกรรมก็คืออ่านป้ายประกาศภาษาลาวกัน...ช่วยกันอ่าน...สนุกมาก...วันนี้ยังงงๆอยู่บ้างอ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง...บางครั้งก็แอบๆอ่านคำภาษาอังกฤษประกอบด้วย
รับประทานอาหารกลางวัน
พระธาตุพูสี : หลักเมืองของหลวงพระบาง "หากมาเยือนหลวงพระบางแล้วไม่ได้ขึ้นถึงยอดพูสี ถือว่ามาไม่ถึงเมืองหลวงพระบาง"
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ตรงข้ามหอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง(พระราชวังหลวง)
มีตำนานกล่าวว่า ฤาษีสองพี่น้องคือ อามาะละฤาษีและโยทิกะฤาษี ได้เดินทางเสาะแสวงหาสถานที่สำหรับตั้งบ้านเมือง เมื่อมาเห็นชัยภูมิที่นี่ดี เป็นที่ราบกว้างและมีเนินเขาอยู่กลาง จึงเลือกเนินเขานี้เป็น ใจเมือง ชาวบ้านจึงเรียกกวันว่า ภูฤาษี หรือ ภูษี ส่วนนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า ภูษี น่าจะมาจากคำว่า ภูศรี ซึ่งหมายถึงความเป็นศรีสง่าของเมืองหลวงพระบาง
• เขาภูษี เป็นยอดเขาตั้งกลางใจเมืองสูงประมาณ 150 เมตร มีบันไดทั้งหมด 328 ขั้น เส้นทางที่นิยมใช้กันเป็นประจำคือ ทางทิศตะวันตก ตรงข้ามหอพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสะดวกกว่าเส้นทางทิศตะวันออกซึ่งขึ้นมาจากทางริมน้ำคาน บนยอดภูษีเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ตัวเมืองหลวงพระบางได้รอบทิศ โดยทางทิศตะวันตกหันหน้าสู่ทางเดินจะพบวิวพระราชวังหลวงพระบาง แม่น้ำโขง และบ้านเรือนอย่างสวยงาม ส่วนทางทิศตะวันออกจะมองเห็นแม่น้ำคานช่วงที่ไหลผ่านสะพานเหล็ก ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของการขึ้นชมภูษีได้แก่ ช่วงบ่ายสี่โมงเป็นต้นไป เพราะอากาศจะเย็นสบาย ทำให้ไม่เดินเหนื่อยมากนัก และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกด้วย
• พระธาตุจอมพูสี ยอดภูสีเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมพูสี ซึ่งเป็นองค์พระธาตุที่สำคัญที่สุดของเมืองหลวงพระบาง ตั้งแต่ยอดปลีขึ้นไปทาสีทองสุกปลั่ง ซึ่งไม่ว่าจะอยู่จุดใดในหลวงพระบาง จะพบเห็นพระธาตุจอมพูสีส่องสว่างอยู่ทุกแห่ง สร้างในปี พ.ศ. 2347 สมัยเจ้าอนุรุทราช มาบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ.2457 โดยหุ้มองค์พระธาตุด้วยแผ่นทองเหลืองฉาบทองคำ องค์พระธาตุกว้างด้านละ 10.55 เมตร สูง 21 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ยอดประดับด้วยเศวตรฉัตทองสำริด 7 ชั้น ตัวพระธาตุเป็นรูปทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม บริเวณรอบพระธาตุมีทางเดินคล้ายระเบียง มีรั้วเตี้ยๆ กั้นให้เดินได้โดยรอบ
• คำแนะนำสำหรับคนที่กำลังจะขึ้นพูสีก็คือ ถึงแม้จะสามารถขึ้นได้ทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือราวประมาณสี่โมงเย็น หลังแดดร่มลมตกไปแล้ว จากนั้นเมื่อนมัสการองค์พระธาตุด้านบนเสร็จแล้ว สามารถรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง
ค่าเข้าชม 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4
ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4
วันที่ 7 มกราคม 2560 เดินทางจากสุราษฎร์ธานี มุ่งสู่หลวงพระบาง โดยไปต่อเครื่องที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง มีข้อพึงระวังในการเดินทางไปต่างประเทศนะคะ อย่าลืมตรวจวันหมดอายุของพาสปอต เพราะข้อกำหนดของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ของประเทศลาวพาสปอตต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนไม่งั้นทางสายการบินจะไม่ยอมให้เราเช็คอิน เพราะเค้ากลัวว่าถ้าเราไปถึงแล้วเข้าประเทศไม่ได้เค้าต้องรับผิดชอบขากลับของผู้โดยสาร
หลวงพระบาง เป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก
ส่วนรายละเอียดอื่นๆในขั้นตอนการผ่าน ตม.ก็เหมือนๆเดิมถ้าไงก็ย้อยกลับไปอ่านบันทึกก่อนๆเพื่อทำความเข้าใจนะคะ ส่วนเอกสาร Immigration ของลาวทำสวยเชียวมีข้อมูลที่ต้องกรอกไม่เยอะ ขอย้ำสถานที่พักที่ลาวเตรียมรายละเอียดไว้ด้วยนะคะ และลายเซ็นให้เหมือนกับพาสปอต....
ผ่านด่าน ตม.ของประเทศลาวแล้ว จ้าวปุ่นเจ้าของ Guest House สนิทกับพี่ตู่ พี่ยิ่ง เสมือนญาติเลยล่ะคะ มารอรับไปส่งที่ Levady Guest House ฟรีค่ะ....
ระยะทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบาง ถึงที่พัก Levady Guest House ประมาณ 6 Km ทางแยกหลวงพระบาง ไม่มีไฟแดง
ประเทศลาวขับรถไม่เหมือนเรา
บ้านเรา....คนขับอยู่ด้านขวา...ขับบนถนนฝั่งซ้าย
ประเทศลาว...คนขับอยู่ด้านซ้าย...ขับบนถนนฝั่งขวา
คำที่เราได้ยินบ่อยๆที่หลวงพระบางก็คือ สะบายดี หมายถึงสวัสดี
คำที่เราได้ยินบ่อยๆที่หลวงพระบางก็คือ สะบายดี หมายถึงสวัสดี
เครื่องดื่มที่มีขายตลอดแนวเลยก็คือพวกน้ำปั่นและเครป ค่าครองชีพที่นี่ค่อนข้างสูง ราคาอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ต่างๆแพงเชียว มาหลวงพระบางค่าใช้จ่ายที่ต้องมีก็ค่าเครื่อง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ส่วนการ Shopping ตัดใจซื้อของยากจริงๆ เค้าบอกราคาผ่านเกินไปค่ะ รู้สึกเครียดที่จะต้องต่อรองราคาเยอะๆ อีกอย่างมีสินค้าจากจีนมาจำหน่ายเยอะถ้าเราเลือกไม่เป็นอาจจะได้ของจีนไม่ใช้ของลาวก็เป็นไปได้
ทดลองเข้าไปแลกเงินที่ธนาคารลาว อยากจะลองใช้เงินกีฟ ถ้าไม่แลกเงินก็สามารถใช้เงินไทยได้ แต่ถ้าจำนวนเงินเยอะๆ รวมๆส่วนต่างก็เป็นเงินสูง ก็มีทางเลือกให้ 1.แลกเป็นดอลล่าห์เพื่อมาแลกเป็นเงินกีฟ 2.ใช้เงินไทยแลกเป็นเงินกีฟ 3.ใช้เงินไทย เพื่อความสะดวก 1 บาท = 229 กีฟ ในการจ่ายแต่ละครั้งลองคำนวณดูนะคะ
ส่วนนี้ขอคัดลอกบันทึกจากของน้องพลอยมาเลยค่ะ
------------------------------------------------------
เดินไปทานมื้อเย็นที่ “ร้านตำหนักลาว” ร้านอาหารที่เป็นหน้าเป็นตาและอยู่คู่เมืองมรดกโลกแห่งนี้มากว่า 18 ปี ใครที่เคยชินกับร้านอาหารติดแอร์ในบ้านเราอาจต้องผิดหวังเล็ก ๆ เพราะที่นี่มีแต่อากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติเท่านั้น ตอนที่ไปถึงที่ร้านแขกยังไม่เยอะมากนัก พวกเราเลือกนั่งบริเวณระเบียงชั้นสองเพื่อชมวิวถนนยามค่ำคืน สำหรับมื้อแรกที่หลวงพระบางวันนี้ เราสั่ง “สลัดหลวงพระบาง” เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นางเอกของเมนูเห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ถ้าไม่ใช้ “ผักน้ำ” หรือ “watercress” ผักท้องถิ่นที่ขึ้นตามแหล่งน้ำสะอาดที่มีน้ำไหลผ่านเอื่อย ๆ ตามด้วยผักสลัดอื่น ๆ แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม หมูสับรวน และสลัดเดรสซิ่ง ผักสดหวาน กรอบ เข้ากันกับน้ำสลัดครีมรสชติออกหวานเล็ก ๆ นัวมาก อีกเมนูที่ต้องสั่งเมื่อมาที่ร้านนี้คือ “ไส้อั่วหลวงพระบาง” เป็นไส้อั่วหมูปรุงรสแบบไม่ใส่เครื่องแกงเหมืองไส้อั่วเชียงใหม่ รสชาติพอดี ๆ ไม่จัดจ้านมาก กินแบบราดน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวานเข้ากันลงตัว คนที่ไม่กินเผ็ดน่าจะชอบเมนูนี้ ส่วนเมนูอื่น ๆ ที่สั่งมีผัดผัก ลาบปลา ห่อหมกปลา ปลาแม่น้ำโขงปรุงรสทอด แล้วก็น้ำพริกผัดสด อร่อยทุกอย่างจริง ๆ สมแล้วที่เป็นร้านสำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
------------------------------------------------------
เป็นอาหารมื้อแรกที่หลวงพระบางที่แสนประทับใจ
ส่วนนี้ขอคัดลอกบันทึกจากของน้องพลอยมาเลยค่ะ
------------------------------------------------------
อิ่มท้องแล้ว สถานี้ต่อไป “ตลาดมืด” ชื่อฟังดูน่ากลัวเล็ก ๆ แต่จริง ๆ มันก็คือตลาดนัดตอนกลางคืนหรือ “Night Market” บ้านเรานั่นเอง อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษเพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก ส่องคนมากกว่าดูของอีก ของที่ขายส่วนมากก็คล้าย ๆ กันไปหมดอย่าง ผ้าซิ่น ผ้าไหม ผ้าพันคอผ้าฝ้ายลาว เสื้อยืด ชาชนิดต่าง ๆ ที่บรรจุในถุงกระดาษสา โคมไฟกระดาษสาที่ดัดแปลงเป็นรูปทรงต่าง ๆ หนึ่งในหัตกรรมขึ้นชื่อของหลวงพระบาง ที่วางโทรศัพท์มือถือทำจากไม้ไผ่เพ้นท์ลายต่าง ๆ อย่างดอกลีลาวดีหรือดอกจำปาลาว ดอกซากุระ ต้นไผ่
-------------------------------------------------------------------
ตลาดมืด จะมีทุกคืนดีนะที่เกสเฮาส์เราอยู่ใกล้ตลาดมากจะเดินออกมาตอนไหน เบื่อๆแล้วอย่าจะเดินกลับได้ตลอดเวลา คืนนี้คนเยอะมาก ทำได้เพียงเดินดูสินค้าผ่านๆ สอบถามราคาสินค้าไว้ อุ๋ย ราคาสินค้าค่อนข้างสูงเชียว คืนพรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ เพราะว่าคืนนี้อากาศหนาวมากไม่ไหวแล้วขอกลับไปนอนก่อน........
เช้าวันที่ 8 มกราคม 2559 เดินไปตลาดเช้าไม่ไกลจากที่พัก เดินไปประมาณ 6 นาทีก็ถึงตลาดเช้า
เดินชมตลาดเช้า พวกเราเดินต่อมาที่ร้านกาแฟประชานิยม เป็นร้านกาแฟลาว อยู่ใกล้กับริมแม่น้ำโขง
อยู่ใกล้กับตลาดเช้า ถ้าเดินจากที่พักอาจจะเดินเลียบแม่น้ำโขงมาก็ได้
ทานอาหารเช้ากันอิ่มได้เวลาเดินชมเมืองกันแบบเต็มๆซะหน่อย เดินไปเก็บภาพเป็นที่ระลึกไปเรื่อยๆ อีกกิจกรรมก็คืออ่านป้ายประกาศภาษาลาวกัน...ช่วยกันอ่าน...สนุกมาก...วันนี้ยังงงๆอยู่บ้างอ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง...บางครั้งก็แอบๆอ่านคำภาษาอังกฤษประกอบด้วย
เดินกลับที่พัก
เดินชมเมืองกันจนบ่าย กลับมาที่พักเพื่อรอให้เย็นจะได้ไม่ร้อน เพราะช่วงเย็นแพลนกันว่าจะขึ้น
พระธาตุพูสี : หลักเมืองของหลวงพระบาง "หากมาเยือนหลวงพระบางแล้วไม่ได้ขึ้นถึงยอดพูสี ถือว่ามาไม่ถึงเมืองหลวงพระบาง"
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ตรงข้ามหอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง(พระราชวังหลวง)
มีตำนานกล่าวว่า ฤาษีสองพี่น้องคือ อามาะละฤาษีและโยทิกะฤาษี ได้เดินทางเสาะแสวงหาสถานที่สำหรับตั้งบ้านเมือง เมื่อมาเห็นชัยภูมิที่นี่ดี เป็นที่ราบกว้างและมีเนินเขาอยู่กลาง จึงเลือกเนินเขานี้เป็น ใจเมือง ชาวบ้านจึงเรียกกวันว่า ภูฤาษี หรือ ภูษี ส่วนนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า ภูษี น่าจะมาจากคำว่า ภูศรี ซึ่งหมายถึงความเป็นศรีสง่าของเมืองหลวงพระบาง
• เขาภูษี เป็นยอดเขาตั้งกลางใจเมืองสูงประมาณ 150 เมตร มีบันไดทั้งหมด 328 ขั้น เส้นทางที่นิยมใช้กันเป็นประจำคือ ทางทิศตะวันตก ตรงข้ามหอพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสะดวกกว่าเส้นทางทิศตะวันออกซึ่งขึ้นมาจากทางริมน้ำคาน บนยอดภูษีเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ตัวเมืองหลวงพระบางได้รอบทิศ โดยทางทิศตะวันตกหันหน้าสู่ทางเดินจะพบวิวพระราชวังหลวงพระบาง แม่น้ำโขง และบ้านเรือนอย่างสวยงาม ส่วนทางทิศตะวันออกจะมองเห็นแม่น้ำคานช่วงที่ไหลผ่านสะพานเหล็ก ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของการขึ้นชมภูษีได้แก่ ช่วงบ่ายสี่โมงเป็นต้นไป เพราะอากาศจะเย็นสบาย ทำให้ไม่เดินเหนื่อยมากนัก และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกด้วย
• พระธาตุจอมพูสี ยอดภูสีเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมพูสี ซึ่งเป็นองค์พระธาตุที่สำคัญที่สุดของเมืองหลวงพระบาง ตั้งแต่ยอดปลีขึ้นไปทาสีทองสุกปลั่ง ซึ่งไม่ว่าจะอยู่จุดใดในหลวงพระบาง จะพบเห็นพระธาตุจอมพูสีส่องสว่างอยู่ทุกแห่ง สร้างในปี พ.ศ. 2347 สมัยเจ้าอนุรุทราช มาบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ.2457 โดยหุ้มองค์พระธาตุด้วยแผ่นทองเหลืองฉาบทองคำ องค์พระธาตุกว้างด้านละ 10.55 เมตร สูง 21 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ยอดประดับด้วยเศวตรฉัตทองสำริด 7 ชั้น ตัวพระธาตุเป็นรูปทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม บริเวณรอบพระธาตุมีทางเดินคล้ายระเบียง มีรั้วเตี้ยๆ กั้นให้เดินได้โดยรอบ
• คำแนะนำสำหรับคนที่กำลังจะขึ้นพูสีก็คือ ถึงแม้จะสามารถขึ้นได้ทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือราวประมาณสี่โมงเย็น หลังแดดร่มลมตกไปแล้ว จากนั้นเมื่อนมัสการองค์พระธาตุด้านบนเสร็จแล้ว สามารถรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง
ค่าเข้าชม 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
วันนี้เน้นการเดินเที่ยวรอบๆเมืองหลวงพระบาง ชมวิถีชีวิต ร้านค้า วัด....
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น