ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 1 เดินทางหลวงพระบาง 7-11 มกราคม 2560 (7-8 มกราคม 2560)

ตอนที่ 1 ดินทางหลวงพระบาง  7-11 มกราคม 2560  (7-8 มกราคม 2560)

ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4

วันที่ 7 มกราคม 2560 เดินทางจากสุราษฎร์ธานี มุ่งสู่หลวงพระบาง โดยไปต่อเครื่องที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง มีข้อพึงระวังในการเดินทางไปต่างประเทศนะคะ อย่าลืมตรวจวันหมดอายุของพาสปอต เพราะข้อกำหนดของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ของประเทศลาวพาสปอตต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนไม่งั้นทางสายการบินจะไม่ยอมให้เราเช็คอิน เพราะเค้ากลัวว่าถ้าเราไปถึงแล้วเข้าประเทศไม่ได้เค้าต้องรับผิดชอบขากลับของผู้โดยสาร


หลวงพระบาง เป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก

ส่วนรายละเอียดอื่นๆในขั้นตอนการผ่าน ตม.ก็เหมือนๆเดิมถ้าไงก็ย้อยกลับไปอ่านบันทึกก่อนๆเพื่อทำความเข้าใจนะคะ  ส่วนเอกสาร Immigration ของลาวทำสวยเชียวมีข้อมูลที่ต้องกรอกไม่เยอะ ขอย้ำสถานที่พักที่ลาวเตรียมรายละเอียดไว้ด้วยนะคะ และลายเซ็นให้เหมือนกับพาสปอต....






ผ่านด่าน ตม.ของประเทศลาวแล้ว จ้าวปุ่นเจ้าของ Guest House สนิทกับพี่ตู่ พี่ยิ่ง เสมือนญาติเลยล่ะคะ มารอรับไปส่งที่ Levady Guest House ฟรีค่ะ....





ระยะทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบาง ถึงที่พัก Levady Guest House ประมาณ 6 Km ทางแยกหลวงพระบาง ไม่มีไฟแดง 
ประเทศลาวขับรถไม่เหมือนเรา
บ้านเรา....คนขับอยู่ด้านขวา...ขับบนถนนฝั่งซ้าย
ประเทศลาว...คนขับอยู่ด้านซ้าย...ขับบนถนนฝั่งขวา
คำที่เราได้ยินบ่อยๆที่หลวงพระบางก็คือ สะบายดี หมายถึงสวัสดี

นำกระเป๋าเก็บเรียบร้อยก็เดินเล่นในเมืองหลวงพระบาง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เยอะพอสมควร ความตั้งใจแรกกะว่าจะเช้าจักรยานขี่เล่น เห็นสภาพแล้วไม่ไหว เดินน่าจะโอเคกว่า ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ Taxi จะมีบริการทั่วเมืองเลยค่ะ ที่ประทับใจมากๆก็คืออาคารต่างๆ เป็นแบบโบราณถึงแม้จะเป็นอาคารสร้างใหม่ก็เป็นรูปแบบเดียวกัน ไม่มีตึกสูงๆ เกสเฮาส์เยอะมาก เดินไปตรงไหนก็มีด้านล่างเป็นร้านอาหารด้านบนก็จะให้บริการที่พัก การจัดร้านอาหารเครื่องดื่มก็คล้ายๆกันจะมีเก้าอี้ด้านหน้าร้าน ฝรั่งมักจะนั่งดื่มชากาแฟ นั่งอ่านหนังสือ เล่นอินเทอร์เน็ต จะนั่งแบบเงียบๆชิลๆ สำหรับคนที่ชอบบรรยากาศแบบนี้เหมาะเลยล่ะค่ะที่จะมาเที่ยวหลวงพระบางไม่ต้องเร่งรีบ สบายๆ ฝรั่งเยอะมาก



เครื่องดื่มที่มีขายตลอดแนวเลยก็คือพวกน้ำปั่นและเครป ค่าครองชีพที่นี่ค่อนข้างสูง ราคาอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ต่างๆแพงเชียว มาหลวงพระบางค่าใช้จ่ายที่ต้องมีก็ค่าเครื่อง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ส่วนการ Shopping ตัดใจซื้อของยากจริงๆ เค้าบอกราคาผ่านเกินไปค่ะ รู้สึกเครียดที่จะต้องต่อรองราคาเยอะๆ อีกอย่างมีสินค้าจากจีนมาจำหน่ายเยอะถ้าเราเลือกไม่เป็นอาจจะได้ของจีนไม่ใช้ของลาวก็เป็นไปได้







ทดลองเข้าไปแลกเงินที่ธนาคารลาว อยากจะลองใช้เงินกีฟ ถ้าไม่แลกเงินก็สามารถใช้เงินไทยได้ แต่ถ้าจำนวนเงินเยอะๆ รวมๆส่วนต่างก็เป็นเงินสูง ก็มีทางเลือกให้ 1.แลกเป็นดอลล่าห์เพื่อมาแลกเป็นเงินกีฟ 2.ใช้เงินไทยแลกเป็นเงินกีฟ 3.ใช้เงินไทย เพื่อความสะดวก 1 บาท = 229 กีฟ ในการจ่ายแต่ละครั้งลองคำนวณดูนะคะ







ส่วนนี้ขอคัดลอกบันทึกจากของน้องพลอยมาเลยค่ะ
------------------------------------------------------
เดินไปทานมื้อเย็นที่ “ร้านตำหนักลาว” ร้านอาหารที่เป็นหน้าเป็นตาและอยู่คู่เมืองมรดกโลกแห่งนี้มากว่า 18 ปี ใครที่เคยชินกับร้านอาหารติดแอร์ในบ้านเราอาจต้องผิดหวังเล็ก ๆ เพราะที่นี่มีแต่อากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติเท่านั้น ตอนที่ไปถึงที่ร้านแขกยังไม่เยอะมากนัก พวกเราเลือกนั่งบริเวณระเบียงชั้นสองเพื่อชมวิวถนนยามค่ำคืน สำหรับมื้อแรกที่หลวงพระบางวันนี้ เราสั่ง “สลัดหลวงพระบาง” เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นางเอกของเมนูเห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ถ้าไม่ใช้ “ผักน้ำ” หรือ “watercress” ผักท้องถิ่นที่ขึ้นตามแหล่งน้ำสะอาดที่มีน้ำไหลผ่านเอื่อย ๆ ตามด้วยผักสลัดอื่น ๆ แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม หมูสับรวน และสลัดเดรสซิ่ง ผักสดหวาน กรอบ เข้ากันกับน้ำสลัดครีมรสชติออกหวานเล็ก ๆ นัวมาก อีกเมนูที่ต้องสั่งเมื่อมาที่ร้านนี้คือ “ไส้อั่วหลวงพระบาง” เป็นไส้อั่วหมูปรุงรสแบบไม่ใส่เครื่องแกงเหมืองไส้อั่วเชียงใหม่ รสชาติพอดี ๆ ไม่จัดจ้านมาก กินแบบราดน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวานเข้ากันลงตัว คนที่ไม่กินเผ็ดน่าจะชอบเมนูนี้ ส่วนเมนูอื่น ๆ ที่สั่งมีผัดผัก ลาบปลา ห่อหมกปลา ปลาแม่น้ำโขงปรุงรสทอด แล้วก็น้ำพริกผัดสด อร่อยทุกอย่างจริง ๆ สมแล้วที่เป็นร้านสำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
------------------------------------------------------
เป็นอาหารมื้อแรกที่หลวงพระบางที่แสนประทับใจ




ส่วนนี้ขอคัดลอกบันทึกจากของน้องพลอยมาเลยค่ะ
------------------------------------------------------
อิ่มท้องแล้ว สถานี้ต่อไป “ตลาดมืด” ชื่อฟังดูน่ากลัวเล็ก ๆ แต่จริง ๆ มันก็คือตลาดนัดตอนกลางคืนหรือ “Night Market” บ้านเรานั่นเอง อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษเพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก ส่องคนมากกว่าดูของอีก ของที่ขายส่วนมากก็คล้าย ๆ กันไปหมดอย่าง ผ้าซิ่น ผ้าไหม ผ้าพันคอผ้าฝ้ายลาว เสื้อยืด ชาชนิดต่าง ๆ ที่บรรจุในถุงกระดาษสา โคมไฟกระดาษสาที่ดัดแปลงเป็นรูปทรงต่าง ๆ หนึ่งในหัตกรรมขึ้นชื่อของหลวงพระบาง ที่วางโทรศัพท์มือถือทำจากไม้ไผ่เพ้นท์ลายต่าง ๆ อย่างดอกลีลาวดีหรือดอกจำปาลาว ดอกซากุระ ต้นไผ่
-------------------------------------------------------------------
ตลาดมืด จะมีทุกคืนดีนะที่เกสเฮาส์เราอยู่ใกล้ตลาดมากจะเดินออกมาตอนไหน เบื่อๆแล้วอย่าจะเดินกลับได้ตลอดเวลา คืนนี้คนเยอะมาก ทำได้เพียงเดินดูสินค้าผ่านๆ สอบถามราคาสินค้าไว้ อุ๋ย ราคาสินค้าค่อนข้างสูงเชียว คืนพรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ เพราะว่าคืนนี้อากาศหนาวมากไม่ไหวแล้วขอกลับไปนอนก่อน........



เช้าวันที่ 8 มกราคม 2559 เดินไปตลาดเช้าไม่ไกลจากที่พัก เดินไปประมาณ 6 นาทีก็ถึงตลาดเช้า




















































เดินชมตลาดเช้า พวกเราเดินต่อมาที่ร้านกาแฟประชานิยม เป็นร้านกาแฟลาว อยู่ใกล้กับริมแม่น้ำโขง
อยู่ใกล้กับตลาดเช้า ถ้าเดินจากที่พักอาจจะเดินเลียบแม่น้ำโขงมาก็ได้



















ทานอาหารเช้ากันอิ่มได้เวลาเดินชมเมืองกันแบบเต็มๆซะหน่อย เดินไปเก็บภาพเป็นที่ระลึกไปเรื่อยๆ อีกกิจกรรมก็คืออ่านป้ายประกาศภาษาลาวกัน...ช่วยกันอ่าน...สนุกมาก...วันนี้ยังงงๆอยู่บ้างอ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง...บางครั้งก็แอบๆอ่านคำภาษาอังกฤษประกอบด้วย































































































 รับประทานอาหารกลางวัน








เดินกลับที่พัก



















































เดินชมเมืองกันจนบ่าย กลับมาที่พักเพื่อรอให้เย็นจะได้ไม่ร้อน เพราะช่วงเย็นแพลนกันว่าจะขึ้น


























พระธาตุพูสี : หลักเมืองของหลวงพระบาง "หากมาเยือนหลวงพระบางแล้วไม่ได้ขึ้นถึงยอดพูสี ถือว่ามาไม่ถึงเมืองหลวงพระบาง"
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ตรงข้ามหอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง(พระราชวังหลวง)

มีตำนานกล่าวว่า ฤาษีสองพี่น้องคือ อามาะละฤาษีและโยทิกะฤาษี ได้เดินทางเสาะแสวงหาสถานที่สำหรับตั้งบ้านเมือง เมื่อมาเห็นชัยภูมิที่นี่ดี เป็นที่ราบกว้างและมีเนินเขาอยู่กลาง จึงเลือกเนินเขานี้เป็น ใจเมือง ชาวบ้านจึงเรียกกวันว่า ภูฤาษี หรือ ภูษี ส่วนนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า ภูษี น่าจะมาจากคำว่า ภูศรี ซึ่งหมายถึงความเป็นศรีสง่าของเมืองหลวงพระบาง
• เขาภูษี เป็นยอดเขาตั้งกลางใจเมืองสูงประมาณ 150 เมตร มีบันไดทั้งหมด 328 ขั้น เส้นทางที่นิยมใช้กันเป็นประจำคือ ทางทิศตะวันตก ตรงข้ามหอพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสะดวกกว่าเส้นทางทิศตะวันออกซึ่งขึ้นมาจากทางริมน้ำคาน บนยอดภูษีเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ตัวเมืองหลวงพระบางได้รอบทิศ โดยทางทิศตะวันตกหันหน้าสู่ทางเดินจะพบวิวพระราชวังหลวงพระบาง แม่น้ำโขง และบ้านเรือนอย่างสวยงาม ส่วนทางทิศตะวันออกจะมองเห็นแม่น้ำคานช่วงที่ไหลผ่านสะพานเหล็ก ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของการขึ้นชมภูษีได้แก่ ช่วงบ่ายสี่โมงเป็นต้นไป เพราะอากาศจะเย็นสบาย ทำให้ไม่เดินเหนื่อยมากนัก และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกด้วย
• พระธาตุจอมพูสี ยอดภูสีเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมพูสี ซึ่งเป็นองค์พระธาตุที่สำคัญที่สุดของเมืองหลวงพระบาง ตั้งแต่ยอดปลีขึ้นไปทาสีทองสุกปลั่ง ซึ่งไม่ว่าจะอยู่จุดใดในหลวงพระบาง จะพบเห็นพระธาตุจอมพูสีส่องสว่างอยู่ทุกแห่ง สร้างในปี พ.ศ. 2347 สมัยเจ้าอนุรุทราช มาบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ.2457 โดยหุ้มองค์พระธาตุด้วยแผ่นทองเหลืองฉาบทองคำ องค์พระธาตุกว้างด้านละ 10.55 เมตร สูง 21 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ยอดประดับด้วยเศวตรฉัตทองสำริด 7 ชั้น ตัวพระธาตุเป็นรูปทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม บริเวณรอบพระธาตุมีทางเดินคล้ายระเบียง มีรั้วเตี้ยๆ กั้นให้เดินได้โดยรอบ
• คำแนะนำสำหรับคนที่กำลังจะขึ้นพูสีก็คือ ถึงแม้จะสามารถขึ้นได้ทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือราวประมาณสี่โมงเย็น หลังแดดร่มลมตกไปแล้ว จากนั้นเมื่อนมัสการองค์พระธาตุด้านบนเสร็จแล้ว สามารถรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง
ค่าเข้าชม 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)

























































วันนี้เน้นการเดินเที่ยวรอบๆเมืองหลวงพระบาง ชมวิถีชีวิต ร้านค้า วัด....

ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10 เมษายน 2561)

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10-11 เมษายน 2561) การเตรียมตัว สนามบินสุราษฎร์ธานี   สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ  สนามบินนิวเดลี สนามบินศรีนาคา  เข้าพักที่ Chicago Group of Houseboats ตอนที่ 1    ตอนที่ 2     ตอนที่ 3    ตอนที่ 4     ตอนที่ 5     ตอนที่ 6 การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน การซื้อทัวร์ที่ SRINAGAR การขอ E-VISA การทำประกันการเดินทาง เดินทางในประเทศ เที่ยวไป 10 เมษายน 2561 เดินทางโดย นกแอร์ สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง เวลา 18.10 - 19.20 น. เที่ยวกลับ 17 เมษายน 2561 เดินทางโดยไลออนแอร์ ดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี 08.50-10.00 น. เดินทางต่างประเทศ เดินทางโดย Spice Jet http://www.spicejet.com/ เที่ยวไป SG88 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK - สนามบินเดลี DEL/ T3  เวลา 03.50-06.25 เที่ยวไป SG937 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินเดลี DEL- สนามบินศรีนาคา SXR  เวลา 09.50-11.40 เที่ยวกลับ SG144 วันที่ 16 เมษายน 2561 จากสนามบินศรีนาคา SXR -สนามบินเดลี DEL เวลา 12.20-14.00 เที่ยวกลับ SG87 วันที่ 16

ท่องเที่ยว ณ JEJU เกาหลีใต้

2-6 เมษายน 2558 เกาะเชจู เมืองมรดกโลก ที่องค์การ UNESCO ให้รางวัลเกาะเชจูเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลก The World's new 7 wonders of nature เพราะเกาะเชจูเป็นเกาะที่เกิดใหม่จากภูเขาไฟ วันที่ 2 เมษายน 2558 ออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่เวลาประมาณ 11.30 น.ใช้บริการ Driver กิตติมศักดิ์คนเดิมอีกเช่นเคย พี่ตุ๊พี่สาวที่น่ารักนั่นเองให้บริการทุกครั้งไม่เคยบ่น น่ารักจังพี่สาวเรา ถึงโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา รอรับพี่สมชาย และน้องตี๋ เพื่อนร่วมเดินทางไป เจจู ทริปนี้ค่ะ สมาชิก 20 คนนำทีมโดยพี่ตู่กับพี่ยิ่งค่ะ บางส่วนก็เดินทางล่วงหน้าไปกทม.ก่อนแล้ว สำหรับคณะที่เดินทางวันนี้ นัดกันที่สนามบินสุราษฎร์ธานี เดินทางไปกรุงเทพมหานครด้วยเที่ยวบิน DD7213. Nok Air เวลา 14.20 ถึง กทม.เวลา 15.30 มีเวลาเหลือเฟือทัวร์นัดรวมพลกันเวลา 23.00 ตัดสินใจเดินทางด้วย Shuttle Bus ฟรี  เจ้าหน้าที่ขอตั๋วพวกเราไม่มีแต่ใช้ตารางการเดินทางไปเกาหลีได้รถออกเวลา 16.00 น. ฟรีแต่ว่าร้อนมากๆ แต่ก็อดทนล่ะประหยัดค่า taxi ไปเกือบพันบาทเพราะถ้าเดินทางด้วย Taxi จะต้องใช้ 2 คัน ร้อนหน่อยก็ถือว่า

ตอนที่ 1 เดินทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน วันที่ 6-12 ธันวาคม 2559(1)

วันที่ 6-7 ธันวาคม 2559 ตอนที่ 1   ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4   ตอนที่ 5 วันที่ 6 ธันวาคม 2559 เดินทางจากสนามบินสุราษฎร์ธานี เวลา 14.50 สู่สนามบินเชียงใหม่ เวลา 16.45  โดยสายการบินแอร์เอเชียเที่ยวบิน FD 5421 ถึงสนามบินเชียงใหม่ ก็ชินตากับมุมที่เค้าจัดดอกไม้ต้อนรับ ปีที่ผ่านมาก็เจอภาพนี้ เห็นครั้งแรกตื่นเต้นถ่ายภาพไปหลายภาพ รวมพลกันเรียบร้อย พี่ตู่ พี่ยิ่ง หัวหน้าคณะก็ออกไปติดต่อรถตู้ที่เช่าไว้ ออกไปรอด้านหน้าสนามบินแป๊บนึงรถก็มารับนำพวกเอาไปแวะเยี่ยม อ.สุรีย์  หลังจากนั้นก็แวะรับประทานอาหารเย็นที่ ล้านกินเส้น อาหารมีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่น อาหารทางเหนือ อาหารทั่วๆไป สั่งได้ อ้อ มีบริการชาเขียวฟรีด้วย ถามๆที่พี่เค้าสั่งมาทานกัน ข้าวซอย ร้านนี้อร่อยค่ะ เสียดายไม่ได้สั่งไปสั่งเย็นตาโฟ เดินทางไกลเลยอยากจะทานอะไรร้อนๆ......อิอิ ไม่อร่อยเลยค่ะ อาหารญี่ปุ่นพวกปลาปริมาณค่อนข้างน้อย ถ้าจะทานให้อิ่มน่าจะต้องสั่งมาทานซัก 2 อย่าง ทางอาหารอิ่มแล้วก็ไปช้อปปิ้ง Gift fair ที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมเชียงใหม่ได้กระเป๋าเป้ Mads in Thailand ใบละ 250 มา