ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 1 การเดินทาง ยอกยาการ์ตา-บุโรพุทโธ วันที่ 4-9 พฤษภาคม 2561

 ตอนที่ 1 การเดินทาง ยอกยาการ์ตา-บุโรพุทโธ วันที่ 4-9 พฤษภาคม 2561

สนามบินสุราษฎร์ธานี สนามบินดอนเมือง สนามบินซูการ์โนฮัตตา (Soekarno Hatta International Airport ) เมืองจาการ์ตา  สนามบินอดิสุคิพโต (Adi Sucipto Airport) เมืองยอกยาการ์ตา
วัดพลาโอซาน (Plaosan Temple) วัดปรามบานัน (Prambanan) ร้านบาติก ชมสินค้าย่านมาลิโอโบโร
พระราชวังน้ำ (Taman Sari หรือ Water Castle) พระราชวังสุลต่าน (Sultan Palace)

ตอนที่ 1 ตอนที่ 2






วันที่ 4-5 พฤษภาคม 2561
การเดินทางไปอินโดนีเซีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วค่ะ แต่ครั้งแรกไปลงเครื่องที่บาหลีก่อนแล้วจึงจะมาที่ยอกยาการ์ตา คลิกอ่านการเดินทางบาหลี ยอกยาการ์ตา ครั้งแรก ปี 2559 
จากสนามบินสุราษฎร์ธานีโดยสายการบินไทยไลออนแอร์ เที่ยวบินที่ SL735 โหลดกระเป๋าได้คนละ 10 กิโลกรัม  จากสนามบินดอนเมืองไปสนามบินซูการ์โนฮัตตา (Soekarno Hatta International Airport ) เมืองจาการ์ตา  โดยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ QZ253 โหลดกระเป๋าได้คนละ 12.5 กิโลกรัม ถือขึ้นเครื่องได้ 7 กิโลกรัม   เดินทางไปสนามบินอดิสุคิพโต (Adi Sucipto Airport) เมืองยอกยาการ์ตา โดยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ QZ7556 ครั้งนี้การเช็คอินกระเป๋าเช็ค 2 ได้รับ Boarding Pass มาเรียบร้อยทั้ง 2 ใบแต่ต้องระวังอย่าให้หายนะคะ.....เช็คอินที่สนามบินดอนเมืองไปรับกระเป๋าที่ สนามบินอดิสุคิพโต (Adi Sucipto Airport) เมืองยอกยาการ์ตา แบบนี้สะดวกมากเลยค่ะ



ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเวลา 20.55 น. การเดินทางครั้งนี้ได้ประสบการณ์ใหม่ที่สนามบินซูการ์โนฮัตตา(Soekarno Hatta International Airport ) กรุงจาการ์ตา ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา (Soekarno–Hatta International Airport) เป็นท่าอากาศยานหลักของกรุงจาการ์ตาและปริมณฑล ท่าอากาศยานแห่งนี้ตั้งชื่อตาม ประธานาธิบดีคนแรก ซูการ์โน และรองประธานาธิบดีคนแรก โมฮัมหมัด ฮัตตา

การบันทึกการเดินทางครั้งนี้ขอเริ่มบันทึกจาก ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา (Soekarno–Hatta International Airport) ล่ะนะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆอ่านจากบันทึกที่เดินทางครั้งที่ผ่านมานะคะ  ระหว่างเดินทางแอร์โฮสเตสแจกเอกสาร Customs Declaration กรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มให้ครบ ส่วนข้อ 11 อ่านดีๆนะคะ ตอบ No ทุกข้อถ้าเราไม่มีของต้องห้ามติดตัวมา


ในคณะเรามีบางคนได้รับ Customs Declaration ที่เป็นภาษาอินโดนีเซียด้วย เพราะเที่ยวบินนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนอินโดนีเซีย คนไทยน่าจะมีเฉพาะกลุ่มพวกเรามั๊ง ไม่ได้ยินคนพูดภาษาไทยเลย แสดงว่าคนอินโดนีเซีย นิยมมาเที่ยวเมืองไทยกัน เมื่อถึงท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา (Soekarno–Hatta International Airport) Terminal 3 ประมาณ  00.25 น. ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง  ไม่ต้องรอรับกระเป๋า เดินออกมาแลกเงินรูเปียห์ อินโดนีเซีย


สนามบินมีถึง 3 Terminal แต่ละ Terminal มีระยะทางห่างพอสมควร ต้องเดินทางด้วย Taxi, Shuttle Bus หรือไม่ก็ Skytrain ครั้งแรกพี่ตู่อ่านจากรีวิว มีคนแนะนำว่าเมื่อมาถึงให้อยู่ที่ Terminal 3 มีคนเยอะถ้าไปที่ Terminal 2 คนจะน้อยกว่า หลังจากหาที่นั่งที่นอนเหมาะๆ กับสมาชิก พี่ตู่กับน้องกิต ก็เดินหาข้อมูลการเดินทางไป Terminal 2 Taxi สามารถหาได้ในชั้น 1 Skytrain ต้องขึ้นบันไดเลื่อนหรือลิฟต์ไปชั้น 2 ส่วน Shuttle Bus อยู่ชั้น 3 มีปัญหาว่า Skytrain จะเริ่มวิ่งเวลาตี 5 แต่เราต้องเดินทางไปยอกยาการ์ตา 05.35 น. เอาล่ะซิทำไงดีถ้าไป Skytrain ไปไม่ทันแน่ๆ ตัดสินใจไปด้วย Shuttle Bus ไปนั่งๆ นอนๆกันที่ Terminal 2 น่าจะโอเคกว่า พอไปถึง Terminal 2 ต้องเดินผ่านทางขึ้นโรงแรมตรงไป ดูเที่ยวบินที่หน้า Gate แต่ละ Gate จะขึ้นเที่ยวบินของ Gate นั้นๆ คนเยอะคึกคักดีอยู่ค่ะ สมาชิกได้พักผ่อนรอเวลาเดินทางต่อ


เวลา 06.55 น.ถึงสนามบินอดิสุคิพโต (Adi Sucipto Airport) เมืองยอกยาการ์ตา ดูแปลกตาไปจากคราวที่แล้วมาก มีการปรับปรุงหลายส่วน ระหว่างรอโชเฟอร์ที่พี่ตู่ติดต่อไว้ ชื่อ.......................................... ความหิวมาเยือนแล้วล่ะ แนะนำนะคะ โรตี ร้านจะอยู่ด้านนอกร้อนๆ อร่อยดี อภินันทนาการจากพี่ชยาวุฒิที่รักของพี่วาลีค่ะ

รถในการเที่ยวครั้งนี้ใช้รถ 2 คัน 10+4 คน เพราะหลายที่รถใหญ่เข้าไปไม่ได้ เราต้องเดินเข้าไปไม่ก็ต้องนั่งรถเล็กไปแบบนี้สะดวกดีกว่า

รับประทานอาหารเช้าที่ร้าน Satria Resto บรรยากาศดีมาก ถ่ายภาพคนดำนาและบรรยากาศเพลิน ลืมถ่ายภาพอาหารมาให้ชมกันเลย  อาหารก็จะเป็นประเภทไก่ ปลา ผัก ประมาณนี้ค่ะ 








วัดปรัมบานัน (Prambanan) 

จันดีปรัมบานัน (Candi Prambanan) หรือ จันดีราราจงกรัง ( Candi Rara Jonggrang) คือเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลาง ห่างจากเมืองยอกยาการ์ตาไปทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร ตัววัดนั้นสร้างขื้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1390 แต่หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นาน ตัววัดก็ถูกทอดทิ้งและถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมา การบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลงเมื่อปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953)

ในปัจจุบัน ปรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกและนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของปรางค์ซึ่งมีความสูงถึง 47 เมตร ทวสถานแห่งนี้ใหญ่โตมาก มีวิหาร 156 หลังอยู่รอบๆกลุ่มวิหารขนาด ใหญ่ 8 หลังซึ่งรวมกันอยู่ ตรงกลาง

ค่าเข้าชม คนละ 320,000 รูเปียห์เป็นเงินไทยประมาณ 500 กว่าบาท พวกเรา 12 คนเข้าชม พี่ยิ่งกับพี่ตู่มาหลายครั้งแล้วตัดสินใจเดินชมบรรยากาศภายนอก วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนดีที่เรามากันตั้งแต่ช่วงเช้า เดินเข้ามาก็จะมีบริการเครื่องดื่มฟรี ชา กาแฟ หรือน้ำเปล่า ก็ได้ เดินเก็บภาพภายนอกครั้งนี้อยากได้ภาพที่เก็บภาพวิหารมุมกว้าง ได้ซักครู่ นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้น ถ่ายภาพยากแล้วล่ะ























กกก











ถ่ายภาพยืนยันว่านักท่องเที่ยวเยอะจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆกัน ส่วนใหญ่จะมีป้าย Study Tour ประกอบการถ่ายภาพ










ทางออกบังคับผ่านร้านค้าตลอดแนวต้องใจแข็งมากๆเดินผ่านตรงออกไปด้านนอกโดยไม่ดูสินค้าใดๆเลย สุดยอดมั๊ยคะ 555








หลุดรอดจากร้านค้าด้านในจนได้ เจอพี่ยิ่งพี่ตู่ด้านนอกกำลังซื้อลูกสละอินโดกันอยู่ อดไม่ได้ล่ะเราต้องซื้อไปชิมกันบ้างล่ะ จำราคาไม่ได้ เดี๋ยวค่อยไปซื้อใหม่ที่ร้านขายสละที่เป็นทางผ่านไปบุโรพุทโธ ราคาน่าจะดีกว่านี้





เข้าไปนั่งรอในห้องรับรองระหว่างรอสมาชิกคนอื่นๆที่เข้าไปในวัดปรัมบานัน ( Prambanan ) ชิมลูกสละที่ซื้อกันเพลินเลย อ้อ งานนี้มีงานอีกอย่างคือ เก็บเม็ดสละให้กับน้องตี๋ เค้าจะเอามาปลูกที่สุราษฎร์ธานีค่ะ เก็บเม็ดสละกันสุดๆ ทุกคนให้ความร่วมมือกันดีมากเลย 











วัดพลาโอซาน (Plaosan Temple) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากจากตัวกลุ่มวัดปรัมบานัน ไปทางทิศเหนือประมาณ 3 กม. เป็นวัดที่สร้างขึ้นผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธ และฮินดู ค่าเข้าชมคนละ 3,000 รูเปียห์ ประมาณ 6 บาทกว่าๆ 





































รับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Abhayagiri Restaurant 
ตั้งอยู่ใน Sumberwatu Heritage Resort, Dusun Sumberwatu RT. 002 / RW. 001, Sambirejo, Prambanan, Sambirejo, Prambanan, Kabupaten Sleman, Daerah Istimewa Yogyakarta 55511 อินโดนีเซีย  ต้องขับรถขึ้นมาบนเนินเขา นี่เป็นจุดที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามในมุมกว้างของภูเขาเมราปีและวัดปรัมบานัน อาหารอร่อยบรรยากาศดี มัวแต่ถ่ายภาพวิวมุมกว้างซะเพลิน ลืมถ่ายภาพอาหารอีกแล้ว ถ้าน้าวัชมาด้วยไม่มีพลาดคิดถึงน้าวัชจัง ครั้งนี้ไม่ได้ถ่ายภาพอาหารเลย...555








เข้าพักที่ โรงแรมไพเรนี ย้อคยา Pyrenees Jogja Hotel โรงแรมตั้งอยู่ในย่านการค้า ถนนมาลิโอโบโร เดินไปช้อปปิ้งสะดวกมาก ถ้าเป็นรถใหญ่จะเข้ามาไม่ได้ต้องเดินเข้ามา โชคดีที่ครั้งนี้เราใช้รถเล็ก 2 คันรถมาได้ถึงโรงแรม มาถึงโรงแรมพักผ่อนเล็กน้อยจากนั้นก็เตรียมตัวออกไป Shopping ผ้าบาติก และทานอาหารเย็น










แวะซื้อผ้าบาติกที่ร้าน Batik Tirta Noto ราคาผ้ามีหลายราคาที่ราคาสูงก็มี ที่ราคาไม่ไกลเกินเอื้อมก็มีให้เลือกซื้อกันหลากหลายประมาณ 100,000 -200,000 รูเปียห์ ผ้าชิ้นก็เมตรละประมาณ 60,000 รูเปียห์ ลดราคาอีก 20 % เลือกซื้อกันเพลินเลย 



รับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารไทย Yam Yam Restaurant ไม่ได้จองโต๊ะ โชคดีมากมาถึงมีโต๊ะว่างพอดีเลย พี่ตู่หาร้านอาหารอร่อยๆบรรยากาศดีๆ ให้เราตลอดเลย เจ้าของร้านเป็นคนไทย อาหารถ่ายได้ไม่ครบหรอกค่ะ อาหารที่อร่อยอีกอย่างก็คือ อูด้งต้มยำ   ถ้าไปครั้งต่อไปอย่าลืมสั่งนะ  เจ้าของร้านแถมของหวานให้ทานกันอีก.....









กลับถึงโรงแรม ตอนแรกตั้งใจว่าจะชมสินค้าย่านมาลิโอโบโร และขี่ม้าชมเมืองซักหน่อย แต่พอมาถึงจริงๆไม่ไหวง่วงนอนมากๆ ขอนอนก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปเดินชมสินค้าก็ได้......

วันที่ 6 พฤษภาคม 2561 ตื่นเช้าหลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมก็ออกไปเดินชมสินค้า ได้กระเป๋าใส่ของใบเล็กๆมา 2 ใบ พ่อค้าบอกขายใบละ 45,000 รูเปียห์ ต่อรองกันง่ายๆ 2 ใบ 45,000 รูเปียห์ พ่อค้าให้ก็ต้องเอาล่ะซิ ใบละ 50 บาท...555  มีเวลาอีกก็เดินเลือกซื้อสินค้าตามร้านข้างโรงแรม ร้านค้าเปิดสายจังมีเพียงไม่กี่ร้านที่เปิดเช้า แต่สินค้ามีคุณภาพทั้งนั้น เช้านี้ก็ได้ Shopping อีกล่ะ....8 โมงกว่าๆ ร้านค้าเริ่มเปิดมากขึ้นเลือกซื้อกันวินาทีสุดท้ายล่ะ



พระราชวังสุลต่าน (Sultan หรือ Kraton Ngayogyakarta ) 
The Palace of Yogyakarta พระราชวังที่ใช้เป็นที่ประทับของสุลต่านประจำเมือง สร้างขึ้นในปี 1790 โดยมีการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ซึ่งมีการนำหลักของศาสนาฮินดูและวิถีชีวิตของคนชวานำมาสอดแทรกในทุก ๆ รายละเอียดต่าง ๆ เช่นการออกแบบประตูพระราชวังที่มี 9 ประตูเพื่อสื่อถึงทวารทั้ง 9 ของมนุษย์เป็นต้น นอกจากนี้ภายในยังมีการแสดงประวัติความเป็นมา และข้าวของที่ใช้ในพระราชวังแห่งนี้ให้ได้ชมกันอีกด้วย

ค่าเข้าชมคนละ 15,000 รูเปียห์ ประมาณ 34 บาท พร้อมมี Sticker ติดที่เสื้อคนละ 1 ใบและค่าถ่ายรูปในบริเวณพระราชวัง 1,000 รูเปียห์/กล้อง





















































พระราชวังน้ำ (Taman Sari หรือ Water Castle)
ปราสาทเก่าแก่แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 โดยสุลต่านองค์แรกแห่งยอกยาการ์ต้า ซึ่งใช้เป็นที่พักตากอากาศรวมถึงนั่งสมาธิสงบจิตใจ โดยสถาปัตยกรรมของปราสาทแห่งนี้จะผสมผสานไปด้วยศิลปะแบบชวาและศิลปะแบบตะวันตก เนื่องจากสุลต่านองค์ดังกล่าวได้เคยไปดูงานด้านสถาปัตยกรรมในแถบตะวันตกอยู่บ่อยครั้ง จึงเกิดเป็นแรงบันดาลในการสร้างปราสาทแห่งนี้ และเมื่อประมาณ 150 ปีก่อน ยอกยาการ์ต้าได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จึงทำให้โดยรอบปราสาทพังทลายลงไปมาก แต่บริเวณปราสาทชั้นในยังคงรักษาไว้ได้ตามสภาพ

ส่วนจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือบริเวณปราสาทชั้นในที่มีสระน้ำ 2 สระ คู่อาคารสูงทรงตะวันตกซึ่งเป็นที่ประทับของสุลต่านและยังเป็นสถานที่เลือกนางสนมที่กำลังเล่นน้ำอยู่ในสระเพื่อเลือกไปรับใช้ในคืนนั้นด้วย โดยวิธีการคือสุลต่านจะโยนดอกไม้ลงมาหากนางสนมคนไหนรับได้ก็จะได้ไปรับใช้สุลต่า

ค่าเข้าชมคนละ 15,000 รูเปียห์












ทางออกก็จะผ่านหมู่บ้านที่จำหน่ายสินค้าต่างๆ 

























ร้าน  Plentong Batik ผ้ามีคุณภาพดี ราคาเลยดีตามคุณภาพของผ้าราคาแต่ละชิ้นไม่ต่ำกว่า 1,000,000
รูเปียห์ 




รับประทานอาหารกลางวันร้าน Ayam Goreng Suharti Jogja เป็นร้านแนวอินโดนีเซีย เลยล่ะค่ะ มีน้ำล้างมือพร้อมผ้าเช็ดมือให้พร้อมทานอาหารด้วยมือได้เลย ก็จะมีลูกค้าส่วนใหญ่จะทานด้วยมือ  

















เดินทางต่อไปยังเมืองเมกาลัง ที่ตั้งบุโรพุทโธ








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10 เมษายน 2561)

ตอนที่ 1 เดินทางเ แคชเมียร์ ประเทศอินเดีย 10-17 เมษายน 2560 (10-11 เมษายน 2561) การเตรียมตัว สนามบินสุราษฎร์ธานี   สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ  สนามบินนิวเดลี สนามบินศรีนาคา  เข้าพักที่ Chicago Group of Houseboats ตอนที่ 1    ตอนที่ 2     ตอนที่ 3    ตอนที่ 4     ตอนที่ 5     ตอนที่ 6 การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน การซื้อทัวร์ที่ SRINAGAR การขอ E-VISA การทำประกันการเดินทาง เดินทางในประเทศ เที่ยวไป 10 เมษายน 2561 เดินทางโดย นกแอร์ สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง เวลา 18.10 - 19.20 น. เที่ยวกลับ 17 เมษายน 2561 เดินทางโดยไลออนแอร์ ดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี 08.50-10.00 น. เดินทางต่างประเทศ เดินทางโดย Spice Jet http://www.spicejet.com/ เที่ยวไป SG88 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK - สนามบินเดลี DEL/ T3  เวลา 03.50-06.25 เที่ยวไป SG937 วันที่ 11 เมษายน 2561 จากสนามบินเดลี DEL- สนามบินศรีนาคา SXR  เวลา 09.50-11.40 เที่ยวกลับ SG144 วันที่ 16 เมษายน 2561 จากสนามบินศรีนาคา SXR -สนามบินเดลี DEL เวลา 12.20-14.00 เที่ยวกลับ SG87 วันที่ 16

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (7-9 เมษายน 2560 เดินทาง โกลกัตตา-นิวเดลี-เลห์)

ตอนที่ 1 เดินทางเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย (เตรียมพร้อมก่อนเดินทาง เดินทางจากสุราษฎร์ธานี-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ - สนามบินกัลกัตตา Kolkata I -สนามบินนิวเดลลี) ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5   ตอนที่ 6 ก่อนเดินทางไปเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย สิ่งแรกก็ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนก็คือดูว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศอินเดีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เดินทางไปอินเดีย ครั้งแรกไปสิกขิมอยู่ทางเหนือของอินเดีย อยู่ระหว่าเนปาลกับภูฎาน แต่เลห์ ลาดัก จะขึ้นไปทางเหนือของอินเดียมากกว่าสิกขิม เลยเมืองนิวเดลี ขึ้นไป ทางด้านปากีสถานดูแผนที่ด้านล่างประกอบนะคะ ต่อมาก็เริ่มศึกษาจากรีวิว เลห์ ลาดักห์ จากหลายๆแหล่ง มีเยอะมากแสดงว่าคนนิยมมาเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะจาก YouTube ชอบหลายคลิป โดยเฉพาะของรายการคนค้นคน...และของรายการ Travel Channel Thailand ช่วงนี้ว่างเป็นต้องชมคลิป เลห์ ลาดักห์.....เพื่อความสะดวกในการชมคลิปขอนำมาแปะที่หน้าบล็อกนี้เลย.....นี่ขนาดยังไม่ได้เดินทางไปนะคะยังฟินขนาดนี้.....😍😍 ลำดับต่อมาก็คือการจองตั๋ว ปกติไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH)

ตอนที่ 4 เดินทางเลห์ ลาดักห์ ประเทศอินเดีย 7-15 เมษายน 2560 (12 เมษายน 2560 LEH) ตอนที่ 1    ตอนที่ 2    ตอนที่ 3    ตอนที่ 4    ตอนที่ 5    ตอนที่ 6 12 เมษายน 2560 ตื่นเช้าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางผ่านภูเขาหิมะจากตัวเมือง Leh Ladakh สู่ Pangong Lake ทะเลสาบน้ำแข็ง กำหนดว่าจะออกเดินทาง 6.00 น. โดยเค้าจะเตรียม Breakfast Box ให้ อากาศจะหนาวมากให้เตรียมของไปให้พร้อมด้วย น้ำดื่ม และอ๊อกซิเจนกระป๋องห้ามลืมนะคะสำคัญมากๆ คณะที่ไปทะเลสาบปันกองมีที่ขอ Permit ไว้ 7 คน (น้าวัช น้องเขม น้องเอ็ต น้องพลอย น้องกิต พี่ตุ๊ พี่แดง ) ยื่นขอไว้ตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึง หิมะตกมากทางปิดมา 2-3 วันแล้วโชคดีที่วันนี้ไปได้ ระยะทางประมาณ 120 km ใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมงไปกลับ 12 ชั่วโมง...บรรยากาศระหว่างการเดินทางดูจากภาพนะคะ ชัดเจนกว่าการบรรยายแน่นอน...แบ่งเส้นทางเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือช่วงที่ออกจากเมือง Leh ถนนลาดยาง ระดับที่ 2 เริ่มออกนอกเมือง เริ่มเป็นถนนหิน+ดิน ระยะที่ 3 เป็นถนนที่เลียบภูเขาและผ่านหิมะ ค่อนข้างโหด........... จุดที่พักเข้าห้องน้ำ จุดแรกหนาวมากๆๆๆๆๆ เดินไปห้องน้ำ ต้องเ